วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือ "ด้านมืดของผู้ตามหาแสงสว่าง | The Dark Side of the Light Chasers"

บิสมิลละฮ์ ฮิรเราะห์มาน นิรรอฮีม


"ด้านมืดของผู้ตามหาแสงสว่าง | The Dark Side of the Light Chasers          

ผู้เขียน Debbie Ford
ผู้แปล ภัทริณี เจริญจินดา
สำนักพิมพ์ โอ้มายก้อด



บทสรุปรวบยอดของหนังสือเล่มนี้คือการยอมรับตัวเองทั้งในด้านดีและด้านที่ไม่ดี เพื่อการมีชีวิตที่เต็มอิ่มอย่างคลี่คลายและปลอดโปร่ง เราไม่สามารถที่จะมีชีวิตที่ผ่อนคลายและเต็มอิ่มได้หากเรายังไม่สามารถยอมรับด้านแย่ๆ ในตัวเราอย่างเต็มใจยิ่ง ยอมรับว่ามันอยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายหรือพยายามเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องพยายามเป็นอย่างอื่นเพื่อที่เราจะไม่ต้องเป็นเราในด้านแย่ๆ หรือด้านที่เราไม่อาจยอมรับได้ การทำเช่นนั้นต้องใช้ความพยายามมากมาย การยอมรับด้านดีของตนอาจเป็นเรื่องง่ายกว่า และการยอมรับว่าเป็นคนขี้บ่น เอาเปรียบ หรือ ชอบโอ้อวด แค่คิดจะยอมรับก็ยากแล้ว เช่นนั้นการยอมรับด้านแย่ๆ จึงควรมาพร้อมกับการเฟ้นหาประโยชน์ที่มีจากด้านที่ไม่ดีเหล่านั้น เช่น หากต้องรับมือกับการหยิบยืมเงินจากเพื่อนๆ หรือญาติๆ ตลอดเวลาโดยขาดความเกรงใจ การเป็นคนขี้บ่นบ้างในกรณีนี้จะทำให้พวกเขาเกรงใจเราขึ้นมาบ้างหรือไม่ 


หนังสือเปรียบตัวตนของเราเป็นดังปราสาทที่มีห้องหับมากมาย อาจมีห้องอันวิจิตตระการตา ห้องที่สะอาด ห้องที่เข้าไปแล้วผ่อนคลาย รวมถึงอาจมีห้องที่มืดๆ ห้องที่สกปรก และห้องที่รกรุงรังน่าเกลียด แต่ทั้งหมดนั้นเมื่อรวมกันมันคือปราสาทหลังใหญ่ มีความหลากหลาย มีความคละเคล้าและหลอมรวม เมื่อเรายอมรับได้ว่าประสาทแห่งนี้มีทั้งห้องที่น่าอยู่และห้องที่น่าเกลียด (บางครั้งเราอาจจะอยากเข้าไปดูห้องหน้าเกลียดนั้นว่าหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างก็ได้) ประสาทแห่งนี้จึงจะดูมีชีวิตชีวาขึ้น ตัวเราก็เช่นนั้นมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี เพียงแต่ยอมรับมันไว้ เราอาจเผยด้านดีออกมาและเก็บด้านไม่ดีไว้ใช้ประโยชน์ในยามจำเป็น เมื่อยอมรับได้เช่นนี้เราจึงไม่ต้องเสียพลังงานเพื่อกลบและปกปิด และไม่ต้องเสียพลังงานเพื่อที่จะต้องไม่เป็นเรา ชีวิตจึงจะผ่อนคลายและเต็มอิ่มยิ่งขึ้น เพราะเราแผ่จนเต็มแล้ว

# เงามืดในตัวเรา
เงามืดคือแหล่งซ่อนตัวคุณสมบัติที่เราเกลียดเกี่ยวกับตัวเอง เราซ่อนคุณสมบัติมืดๆ ไว้ในเงามืดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นมัน เพราะเรายอมรับมันไม่ได้ แต่การจะมีชีวิตปกติสุขจากภายในอย่างสมบูรณ์ เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยอมรับให้ได้ว่าเรามีคุณสมบัติมืดๆ นั้น คุณสมบัติที่เราไม่อยากมองและไม่อยากเห็น มันมีอยู่ในตัวเราตลอดเวลา เราคิดว่าคนอื่นไม่ยอมรับ เราจึงไม่อาจยอมรับมันได้ เราไม่เคยใส่ใจมันเลย เพราะมันสร้างความทุกข์ให้เรา หากเราจะอ่อนโยนต่อตนเองบ้างด้วยการโอบรับคุณสมบัติที่เราไม่ปรีดาให้มันอยู่ แค่ยอมรับว่ามันมีอยู่ ถึงมันจะไม่ดีอย่างไรก็แค่ยอมรับว่ามันมี เราไม่จำเป็นต้องใช้มันหรือเราอาจอยากใช้มันบ้างในบางครั้ง 

# ตัวตนที่ถูกทอดทิ้ง 
เรามักจะโยนสิ่งที่อยู่ในตัวเรา (ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ นิสัย และคุณสมบัติ) ไปใส่ตัวคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราไม่ยอมรับคุณสมบัติใดก็ตามที่อยู่ในตัวเรา เราจะโยนคุณสมบัตินั้นไปที่คนอื่น ผู้เขียนเปรียบอารมณ์ของเราเป็นเต้าเสียบหลายๆ อันอยู่บนหน้าอกเรา เต้าเสียบหนึ่งอันแทนอารมณ์หรือความคิด ฯลฯ อย่างนึง อารมณ์ใดที่เรายอมรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราจะมีฝาปิดไว้ ซึ่งก็จะไม่มีกระแสไฟไหลออกมาและไม่เป็นตราย แต่หากอารมณ์ใดยังไม่ถูกยอมรับ และเมื่อมีใครมาแสดงอารมณ์/ความคิดนั้นต่อหน้าเรา ก็เหมือนเขาเอาปลั๊กมาเสียบเต้ารับที่อกเรา มันจะดึงดูดกันและกัน และมันจะดูดผลักชีวิตจากเราเพราะเราพยายามปฏิเสธมันว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ต่อเมื่อเรายอมรับคุณสมบัติหรืออารมณ์ที่เราไม่ปราถนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราเท่านั้น พลังชีวิตเราจึงจะไม่ถูกดูดออกเพราะเรามีฝาปิดคอยป้องกันไม่ให้กระแสไฟไหลออกไปดูดคนหรือคุณสมบัตินั้นเข้ามา อะไรหรือคุณสมบัติใดที่เราไม่ยอมรับและพยายามเก็บซ่อนมันไว้มันจะสะท้อนผ่านผู้คนหรือเหตุการณ์เพื่อกระตุ้นให้เราผนวกคุณสมบัตินั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา 

ไม่เพียงเฉพาะคุณสมบัติที่ไม่พึงปราถนาเท่านั้นที่เราโยนให้คนอื่น คุณสมบัติที่เราอยากมีเราก็โยนให้คนอื่นเช่นกัน "ถ้าคุณอยากเป็นเหมือนคนอื่น นั่นเป็นเพราะคุณมีคุณสมบัติในตัวคุณที่เป็นเหมือนเขา" "เวลาที่คุณไม่ได้ดำเนินชีวิตตามศักยภาพของตัวเอง ก็เป็นการง่ายที่คุณจะโยนคุณสมบัติเชิงบวกไปยังคนที่ดำเนินชีวิตตามศักยภาพของตัวเอง เมื่อคุณเริ่มทำความฝันและเป้าหมายของคุณให้กลายเป็นจริง คุณจะสนใจสิ่งที่คนอื่นทำน้อยลง เราต้องเป็นฮีโร่ให้ตัวเอง ทางเดียวที่จะทำได้คือ เรียกคืนคุณสมบัติที่เคยอาศัยคนอื่นเป็นผู้ขับเคลื่อน คุณสมบัติที่เรายกให้คนอื่นไป" "คุณจะไม่สามารถเห็นความยอดเยี่ยมในตัวคนอื่นได้ ถ้าคุณไม่มีคุณสมบัติใดๆ อยู่ข้างใน จิตใจคุณก็จะไม่ถูกดึงดูดเข้าไปหาตั้งแต่แรก" 

ประโยคโดนๆ จากหนังสือ
หลายคนหมดเวลาไปกับการไล่ตามแสงสว่าง เพียงเพื่อจะพบความมืดมากขึ้น คาร์ล ยุง กล่าวไว้ว่า "คนเราไม่ได้ตาสว่างด้วยการจิตนาการถึงแสงสว่าง แต่ด้วยการตระหนักรู้ความมืด" 

สิ่งที่คุณเรียกว่าข้อบกพร่องของคุณ ทุกสิ่งที่คุณไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเอง คือสิ่งที่มีคุณค่า "เธอบอก" มันเป็นแค่การขยายออกจนเกินพอดี เราขยายจนเกินพอดีไปหน่อยก็เท่านั้น แค่ลดๆ ลงมาสักนิด ไม่นานคุณและคนอื่นจะเห็นจุดสมดุล

ฉันตระหนักว่าทุกขณะที่ฉันไม่เป็นสุข ฉันมองหาสิ่งที่ผิดแทนที่จะเป็นสิ่งที่ถูก ฉันมองหาความกลัวและการตัดสินแทนที่จะเป็นความรักและการเปิดใจ ฉันมองด้วยจิตที่คิดแต่จะลงโทษแทนที่จะเป็นหัวใจที่เมตตาอาทร

การยึดอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตดูจะง่ายกว่าเยียวยารักษามันในตอนนี้ แต่เปล่าหรอกมันไม่ได้ง่ายกว่าเลย

"เงามืด" เป็นแหล่งความทุกข์ด้านของตัวเราที่เราพยายามปิดบังหรือปฏิเสธมัน เป็นแง่มุมดำมืดที่เราเชื่อว่ายากจะยอมรับสำหรับครอบครัว เพื่อนฝูง และโดยเฉพาะตัวเอง มันฝังตัวอยู่ในจิตส่วนลึก โดยส่งข้อความอันเรียบง่ายมาถึงเราว่า ฉันมีสิ่งผิดปกติ ฉันยังไม่ดีพอ ฉันไร้ค่า

ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเวลาที่คุณหยุดเป็นปฏิปักษ์กับเงามืดของตัวเอง คุณไม่ต้องแสร้งเป็นคนที่ไม่ใช่คุณอีกต่อไป คุณไม่ต้องพิสูจน์ว่าดีพออีกต่อไป เมื่อคุณโอบรับเงามืดคุณจะไม่ต้องมีชีิวิตด้วยความกลัวอีก

สิ่งที่คุณอยู่ด้วยไม่ได้จะไม่ปล่อยให้คุณมีชีวิตตามปกติได้ คุณต้องเรียนรู้วิธียินยอมให้ทุกด้านที่คุณเป็นอยู่ในตัวคุณได้ ถ้าคุณอยากเป็นอิสระ คุณต้องเป็นได้หมด หมายความว่าเราต้องเลิกตัดสินตัวเอง เราต้องให้อภัยตัวเองที่ยังเป็นคนไม่ดีคนหนึ่ง ต้องให้อภัยตัวเองที่ยังเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ เมื่อเราตัดสินตัวเองเราจะตัดสินคนอื่นโดยไม่รู้ตัว

ขอขอบคุณ
salindongbayu 



วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559

รีวิวหนังสือ "The Power of Now | พลังแห่งจิตปัจจุบัน"

บิสมิลละฮ์ ฮิรเราะห์มาน นิรรอฮีม

"The Power of Now | พลังแห่งจิตปัจจุบัน          

ผู้เขียน Eckhart Tolle
ผู้แปล พรรณี ชูจิรวงศ์
สำนักพิมพ์ โอ้มายก้อด

อันที่จริงเนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้สามารถสรุปได้สั้นๆ คือ การเป็นอิสระจากความทุกข์ด้วยการเป็นอิสระจากความคิดผ่านการตระหนักรู้อยู่กับปัจจุบัน แต่กระนั้นเนื้อหาปลีกย่อยที่เคียงคู่เนื้อหาหลักที่ผู้เขียนนำเสนอก็มิได้สำคัญน้อยกว่ากันเลย เนื้อหาย่อยส่วนใหญ่เป็นข้อคิด ข้อเท็จจริง (ทรงคุณค่า) ที่บางครั้งเราก็ไม่เคยตระหนักมาก่อนว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงจนกว่าจะมีใครมาสะกิดให้เราลองพิจารณา

หนังสือเล่มนี้แปลมาแล้ว 33 ภาษา บ่งบอกได้ดีว่าควรจะต้องมีอะไรพิเศษสำหรับหนังสือเล่มนี้ และเป็นหนังสืออีกเล่มที่น่าอ่านจริงๆ อ่านง่ายแต่ลึกซึ้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้การรีวิวเป็นอะไรที่ยากไม่น้อย ผู้เขียนไม่ได้เขียนให้อ่านยาก และผู้แปลก็แปลได้ดีมาก สำหรับผู้ที่ชื่นชอบหนังสือประเภทนี้หรือกำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่คิดว่ายังหาไม่เจอซักที สามารถอ่านไปได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ แต่ด้วยธรรมชาติของเนื้อหาที่หนังสือนำเสนอ บางครั้งรู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้มีความสนใจทางด้านนี้หรือสัมผัสประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนอ่านแล้วจะเข้าถึงไหมนะ เป็นการอ่านที่ควรใช้ประสาทสัมผัสมากกว่าสมองคิดจึงจะเข้าถึงแก่นแท้ที่ผู้เขียนต้องการจะส่งต่อ การรีวิวหนังสือเล่มนี้คงเป็นได้แค่การลอกตัวบทหนังสือมาไว้ในหน้าบล็อคนี้ เพราะตัวอักษรที่ผู้เขียนบรรจงร้อยเรียงและเนื้อหาที่ผู้แปลบรรจงถอดความมันงดงามและไม่ต้องการการรีวิวใดๆ อีกแล้ว ข้าพเจ้าเพียงแค่บอกต่อให้ผู้ที่ผ่านมาอ่านแค่นั้นเอง 

ตั้งแต่ได้ดูเรื่องแฮร์รี่พ็อตเตอร์ ฉากที่ศาสตราจารย์ดับเบิลดอร์ใช้ไม้กายสิทธิ์ดึงเอาเส้นความคิดของตัวเองใส่ลงไปในขวดโหลปากว้าง ข้าพเจ้าก็จินตนาการเรื่อยมาว่าเราจะสามารถทำอย่างนั้นบ้างได้ไหมนะ ความหนักอึ้ง ความอึมครึม การไม่ได้พักผ่อนของสมองทั้งยามหลับและยามตื่นคงจะเบาบางลงไม่น้อย และเราก็คงจะมีความสุขมากขึ้นจริงๆ ถ้าไม่ต้องคิดในหลายๆ เรื่องที่เราก็ไม่อยากจะคิดหรือแม้แต่นึกถึงมันแต่ทำไม่ได้ ผืนไม่ไป ชีวิตเราจะผ่อนคลายขึ้นมากอีกเท่าไหร่ถ้าไม่ต้องคิดอยู่ตลอดเวลา "การไม่สามารถหยุดความคิดได้ถือเป็นความทุกข์แสนสาหัส แต่ไม่มีใครคิดว่านี่เป็นปัญหา เพราะแทบทุกคนทุกข์กับมันเสียจนมองว่าเป็นเรื่องปกติ" "ความคิดเป็นเครื่องมือที่วิเศษถ้าใช้มันอย่างถูกต้อง แต่ถ้าใช้ผิดมันจะกลายเป็นตัวทำลายล้าง พูดให้ชัดกว่านี้คือ ไม่บ่อยนักที่คุณจะใช้ความคิดผิดวิธี แต่ปกติคุณไม่ได้ใช้มันเลย มันต่างหากที่ใช้คุณ นี่ถือเป็นโรคอย่างหนึ่ง คุณเชื่อว่าคุณคือความคิด (mind) นี่เป็นความเชื่อผิดๆ ที่คุณปล่อยให้ความคิดเข้าครอบงำ" 

"คุณอาจเคยเห็นคน บ้า พูดพึมพำกลางถนนคนเดียว ที่จริงนั่นไม่ได้ต่างจากที่คุณหรือคน ปกติ ทั่วไปทำเลย เว้นแต่พวกคุณทำในใจเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงแสดงความคิดเห็น คาดเดา ตัดสิน เปรียบเทียบ บ่น ชอบ ไม่ชอบ ฯลฯ และเสียงที่ว่าก็ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ที่คุณเจอะเจอในขณะนั้น อาจเป็นเสียงที่หวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ทั้งที่เพิ่งผ่านมาหรือล่วงเลยมานานแล้ว หรือเสียงซ้อมพูด หรือจินตนาการสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่มักคิดแต่เรื่องลบ หรือเรื่องที่อาจผิดพลาดที่เรียกว่า วิตกจริต บางทีเสียงนี้ยังมาพร้อมภาพหรือที่เรียกว่า หนังในใจ และถึงแม้เสียงนั้นจะชวนคุยเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะนั้นแต่มันตีความในแง่ของอดีต นั่นเพราะมันเป็นเสียงจากจิตที่ถูกวางเงื่อนไขอันเป็นผลพวกจากอดีตและกรอบคิดทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาถึงคุณ ดังนั้น คุณจึงมองและตัดสินปัจจุบันผ่านดวงตาของอดีต ทำให้ได้ภาพที่บิดเบือน จึงไม่แปลกที่เสียงในใจจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของบุคคลนั้นเอง หลายคนมีชีวิตอยู่กับตัวทุกข์ในหัวที่คอยโจมตีอย่างต่อเนื่อง คอยลงโทษพวกเขา คอยดูดพลังจากพวกเขาจนหมดสิ้น นี่เป็นต้นเหตุของเรื่องเศร้าไร้สุขสารพัด รวมถึงอาการเจ็บป่วยด้วย" 


"ความทุกข์ส่วนใหญ่ของมนุษย์ล้วนไม่จำเป็น มันเกิดขึ้นเองตราบใดที่คุณยังปล่อยให้ความคิดบงการชีวิตโดยไม่รู้ตัว" ความทุกข์มักจะอยู่ในมิติของเวลาที่เราคุ้นเคย ทั้งอดีตและอนาคตซึ่งมันไม่จำเป็นและไม่ควรเป็นอย่างนั้น เราเจ็บปวดอยู่กับอดีตและเราก็กังวลอยู่กับอนาคตเราไม่มีที่ทางให้ปัจจุบันที่เราอยู่ "สาเหตุที่บางคนชอบกิจกรรมอันตรายผาดโผน อย่างปีนเขา แข่งรถ ฯลฯ คือ มันบีบให้พวกเขาอยู่กับปัจจุบัน ภาวะที่รู้ตัวทั่วพร้อม เป็นอิสระจากสำนึกเรื่องเวลา จากปัญหา จากความนึกคิด เพราะหากหลุดจากปัจจุบันแม้เพียงเสี้ยววินาทีนั่นหมายถึงความตาย" 

ต่อเมื่อเรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน เราจะพบว่าชีวิตมันง่ายดายเสมอ "ทันทีที่คุณให้ความสำคัญกับปัจจุบันขณะ ความทุกข์และการดิ้นรนทั้งหลายพลันสลายหายไป ชีวิตเริ่มลื่นไหลด้วยความเบิกบานและสะดวกสบาย เวลาทำสิ่งใดด้วยจิตจดจ่อกับปัจจุบัน สิ่งนั้นจะซึมซาบด้วยความรัก ความใส่ใจ และมีคุณภาพ แม้แต่เรื่องที่สุดแสนธรรมดา" 

ซึ่งอันที่จริงการกลับมาอยู่กับปัจจุบันหรือการตระหนักรู้ตัวเพื่อให้จิตใจสงบนั้นมันไม่ง่าย และในบางกรณีมันเป็นไปไม่ได้เลยในขณะนั้น การยอมรับและให้อภัยจึงควรเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสงบนี้ "ยกโทษให้ตัวเองที่สงบไม่ได้ จังหวะที่คุณยอมรับโดยสิ้นเชิงว่าในตัวคุณรู้สึกไม่สงบ ความไม่สงบจะถูกแปรเป็นควาสงบ สิ่งใดก็ตามที่คุณยอมรับมันอย่างเต็มที่ จะพาคุณไปถึงที่นั่น พาคุณไปหาความสงบ" 

ข้อเท็จจริงจากหนังสือ 
อันที่จริงข้อเท็จจริง (fact) ในหนังสือมีเยอะแยะไปหมดข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างมาเพียงหนึ่งนั่นคือ การที่คนเราจะพบแสงแห่งปัญญาเพื่อเข้าถึงการตื่นรู้นั้นอาจจะผ่านจาก 2 ช่องทางดังนี้
1. ผ่านความทุกข์ หมายถึงคุณถูกบังคับให้เข้าสู่การตื่นรู้อย่างไม่เต็มใจ สุดท้ายคุณต้องยอมจำนน (และค้นหา) เพราะทนรับความทุกข์ไม่ไหวอีกแล้ว แต่ความทุกข์ก็ยังอยู่ตรงนั้นจวบจนปัญญาจะเกิดขึ้น
2. ผ่านการเลือก คุณเลือกที่จะเข้าสู่การรู้ตัวเพื่อเป็นอิสระจากความทุกข์แห่งความนึกคิด คุณเลือกที่จะไม่ติดอยู่ในความทุกข์ของมิติเวลาอดีตและอนาคต แต่คุณเลือกที่จะรู้ตัวทั่วพร้อมกับปัจจุบัน 

ใต้ต้นก้ามปูต้นใหญ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วบริเวณ พื้นดินขาวเหลืองนวลแลดูสะอาดตา แสงยามบ่ายลอดระหว่างใบเห็นเป็นลำสาดกระทบพื้นดินปรากฏเป็นช่องแสงสลับเงาของใบและกิ่งก้าน เสียงลูกกำลังเล่นอยู่ไม่ไกล  โต๊ะเล็กๆ ตั้งไว้ตรงโคนต้น การนั่งอ่านหนังสือดีๆซักเล่มพร้อมจิบชาดีๆซักแก้ว นั่นคือจินตนาการอันใหญ่โตที่ข้าพเจ้าอยากมีจริงๆ  หนังสือพลังแห่งจิตปัจจุบันคือเล่มที่อยากจะเอาไปใส่ไว้ในภาพจินตนาการนั้น เป็นหนังสือที่ชวนละเลียดอ่านทุกตัวอักษร


ขอขอบคุณ

salindongbayu

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

รีวิวหนังสือ "Inside the Box | คิดในกรอบ"

บิสมิลละฮ์ ฮิรเราะห์มาน นิรรอฮีม


หนังสือ 

"Inside the Box | คิดในกรอบ          

ผู้เขียน Drew Boyd, Jacob Godenberg
ผู้แปล อัญชลี ชัยชนะวิจิตร
สำนักพิมพ์ วีเลิร์น



ปัญหาในเล้าเป็ด


ครั้งยังเป็นเด็กมัธยมต้นแม่เลี้ยงเป็ดเทศไว้ฝูงใหญ่ หน้าที่ของข้าพเจ้าคือช่วยให้อาหารเป็ดในช่วงเย็น อาหารเป็ดของแม่คือรำข้าวด้วยราคามันถูกและเป็ดก็ชอบกิน เล้าเป็ดหลังบ้านของแม่ไม่กว้างแต่ก็ไม่แคบจะมีกะละมังเล็กๆ วางไว้ในระยะห่างๆ กันทั่วบริเวณไว้ใส่อาหารเป็ด อันนึงไว้ใส่รำข้าวที่คลุกน้ำแล้วอีกอันไว้ใส่น้ำให้เป็ดดื่มกิน แม่ก็จัดการสอนด้วยการทำให้ดูว่าต้องทำอย่างไร วิธีการของแม่คือ เดินไปหยิบกะละมังใส่อาหารเป็ดมายังจุดที่กระสอบรำข้าววางไว้ แล้วตักรำข้าวใส่กะละมังตามด้วยน้ำเปล่าจากนั้นก็ใช้มือคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วเดินเอากะละมังไปไว้ที่เดิม วันไหนที่แม่อยู่บ้านแม่ก็จะทำเอง แต่วันไหนที่แม่กลับช้ากลับเย็นข้าพเจ้าก็ต้องรับหน้าที่เป็นผู้ให้อาหารเป็ด ข้าพเจ้าทำตามวิธีการของแม่อยู่ 4-5 ครั้ง ก็เริ่มขี้เกียจเพราะมันเสียเวลาที่จะเดินไปหยิบกะละมังมาใส่รำ คลุกเสร็จแล้วเดินกลับไปวางไว้ที่เดิม ให้อาหารแต่ละทีเดินไปเดินมาไม่รู้จะกี่รอบ ไหนจะเจ็บปลายนิ้วมือที่เวลาคลุกต้องจ้วงลงไป รำข้าวที่มันรวมกันหนาๆ จ้วงไปนานๆ มันเจ็บปลายนิ้วนะ แน่ละตอนที่ให้อาหารจะมีเป็ดเป็นลูกน้องเดินตามอยู่ตลอดเวลาปากก็อ้าร้องไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าจะด้วยอะไรเกิดปิ้งไอเดียขึ้นมา (ขี้เกียจด้วยแหละ อันที่จริงความขี้เกียจเป็นบ่อเกิดไอเดียดีๆ ของข้าพเจ้าเสมอมา แต่มันมีเงื่อนไขว่าขี้เกียจแล้วงานต้องเสร็จไม่งั้นก็โดนแม่เล่นงาน) 

ข้าพเจ้าไปหาถังขนาดพอประมาณ คลุกรำพอได้ 3-4 กะละมัง จัดการตักรำข้าวเทน้ำแล้วก็จ้วงๆ ตอนนี้หาอะไรมาช่วยจ้วงแล้วเพราะเจ็บนิ้วมาก จากนั้นก็เดินเทรำลงในกะละมังเรื่อยๆ เท่านี้ก็ไม่ต้องเดินไปเดินมาแล้ว วันไหนที่ขี้เกียจมากๆ ข้าพเจ้าก็จัดการปั้นรำให้เป็นก้อนแล้วก็โยนให้ตรงกะละมัง หากจะแฉลบไม่ตรงเป้าไปบ้างเป็ดก็ช้อนกินอยู่ดี ทำอย่างนั้นอยู่ซักพักวันหนึ่งคุณแม่กลับบ้านไว เห็นลูกใช้วิธีการอันชาญฉลาดในการให้อาหารเป็ดจึงจัดการสวดซะยกใหญ่ ใครเขาทำอย่างนี้กัน ไอ้ที่สอนไปทำไมไม่ทำตาม สู่รู้นัก ข้าพเจ้ารู้นิสัยแม่ตัวเองดีก็เลยตอบไปแค่ว่า ก็อย่างนี้มันเร็ว อยากทำอย่างนี้แม่ไม่ชอบก็เอาไปทำเอง จากนั้นข้าพเจ้าก็เดินจากไป ผ่านไปเดือนนึงข้าพเจ้าเดินผ่านเล้าเป็ดเหลือบเห็นแม่ใช้วิธีการเดียวกับที่ข้าพเจ้าทำไม่มีผิด เพียงแต่ไม่โยนใส่กะละมังอาหารเป็ดก็เท่านั้น สรุปคือ จะสอนแม่ต้องทำให้เห็นอย่าใช้ปากสอน ฮา

วนอยู่ในกรอบ
หนึ่งในหลักการของการรังสรรค์ความคิดแปลกใหม่และได้ประโยชน์คือต้องนำพาความคิดตัวเองออกมาจากการยึดติดกับโครงสร้างหรือหน้าที่ของผลิตภัณฑ์ วิธีการ หรือบริการนั้นๆ อันนี้สรุปจากหนังสือนะ เราก็ใช้มานานแล้วแต่ไม่รู้ตัวและไม่รู้ว่ามันคืออะไร เช่นโทรศัพท์มือถือใครบอกว่าใช้โทรได้อย่างเดียว ใช้เป็นไฟฉายยามฉุกเฉินก็ได้ใช่ไหม 

คงมีหลายๆ คนที่อยากจะเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ ข้าพเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และการมีความคิดสร้างสรรค์ก็ต้องเป็นคิดนอกกรอบใช่ไหม จึงไปร้านหนังสือขวนขวายหาอ่านวิธีกการคิดนอกกรอบ การเป็นคนแนวสร้างสรรค์ อะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่สุดท้ายก็ได้แต่เป็นความคิดในตู้หนังสือของข้าพเจ้าอีกเล่มเพราะเอาไปใช้ไม่เป็น จากที่เคยอ่านที่พอจะจำได้ก็เช่น ต้องเป็นคนกล้าที่จะคิดไม่เหมือนคนอื่น คิดนอกกรอบ ฯลฯ คือเราพร้อมที่สุดแล้วนะที่จะคิดไม่เหมือนคนอื่นเพราะเราก็ใช้ชีวิตลักษณะนั้นเสมอมา แต่วิธีการที่จะคิดไม่เหมือนคนอื่นแต่มีประโยชน์มันต้องทำยังไงกันหาไม่เจอซักที หนังสือนำเสนอไอเดียกว้างๆ ไม่มีวิธีการ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนแหวกว่ายอยู่ในทะเลที่กว้างไพศาลแต่คว้ายึดอะไรไว้ไม่ได้เลย ก็เลยสรุปเองว่ามันคงจะเป็นพรสวรรค์เฉพาะบุคคลมันคงไม่ใช่เรา เราผิดเองแหละที่ทำอย่างหนังสือไม่ได้ (แต่เรารู้สึกว่าเราก็สร้างสรรค์นะ เพราะในภาวะที่มีทรัพยากรจำกัดเรามักจะมีทางออกเจ๋งๆ ในการแก้ปัญหาให้ตัวเองอยู่เสมอ) 

ก็ร้างลากันไปสำหรับความคิดอยากจะเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์จนมาเจอหนังสือเล่มนี้ แค่เห็นชื่อหนังสือข้าพเจ้าก็รู้ได้เลยว่ามันใช่ไอ้ที่กำลังหา เพราะด้วยหน้าที่การงานที่ต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าอยู่บ่อยๆ ในเวลาจำกัดด้วยทรัพยากรที่จำกัดข้าพเจ้ามักจะทำได้ดี หนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาที่เอามาใช้อยู่เสมอแต่ไม่รู้ตัวคือ การตั้งต้นจากผลลัพธ์แล้วย้อนไปหาวิธีการ เช่น จะต้องเดินทางในอีก 5 วัน แต่จะต้องทำพาสปอร์ตใหม่เพราะมีอายุไม่ถึง 6 เดือน ปัญหาคือวันที่ 4 คือวันอีดิลฟิตรี (ตรุษอิสลาม) และตัวเองก็อยู่ใต้แล้วทำไงดีเราไม่อยากพลาดโอกาสอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวในวันตรุษด้วย ข้าพเจ้าจะตั้งไว้ก่อนเลยว่าผลลัพธ์ที่อยากได้คือ อีก 3 วันพาสปอร์ตจะต้องอยูุ่ในมือโดยที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางขึ้น กทม เพื่อทำพาสปอร์ตใหม่ (เพราะมีความเป็นไปได้ว่าวันที่ 4 สำนักงานและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะหยุด) จากนั้นก็มานั่งคิดหาวิธีการเอาสิแต่เชื่อไหมว่าความเป็นไปได้และวิธีการมันผุดออกมาเรื่อยๆ เราก็เลือกและลองวิธีการที่ดีที่สุดและใช้ได้สะดวกที่สุด และวิธีการที่ข้าพเจ้าใช้เสมอมานั้นก็มีระบุอยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วยเหมือนกัน สุดจะภูมิใจ (ตัวอย่างเรื่องพาสปอร์ตข้าพเจ้าทำสำเร็จมาแล้วด้วยวิธีการดังกล่าว) 

คิดในกรอบมันคิดกันยังไง

แนวคิดคร่าวๆ ของหนังสือคือการจะคิดสร้างสรรค์ได้ดีมันต้องคิดในกรอบไม่ใช่นอกกรอบ และความคิดสร้างสรรค์เป็นอะไรที่สามารถ/ควรจะคิดอย่างเป็นระบบและแบบแผน "มุมมองกระแสหลักบอกว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ไร้โครงสร้างและไม่เป็นไปตามกฏเกณฑ์หรือแบบแผนใดๆ คุณต้องคิดนอกกรอบถึงจะผุดแนวคิดแปลกใหม่ไม่เหมือนใครได้ คุณควรตั้งต้นจากปัญหาและระดมสมองหาไอเดียอย่างไร้ขอบเขตจนกว่าจะพบทางออก...การจินตนาการไปให้ไกลสุดๆ จะช่วยให้คุณผุดไอเดียที่แหวกแนวได้...แต่ในหนังสือเล่มนี้เราจะแสดงให้เห็นว่า คุณจะสามารถสร้างนวัตกรรมได้มากกว่า ดีกว่า และรวดเร็วกว่าเดิมเมื่อคิดภายในโลกที่คุณคุ้นเคย (ภายในกรอบนั้นแหละ) โดยอาศัยสิ่งที่เราเรียกว่า แม่แบบ" แนวคิดที่หนังสือเล่มนี้นำเสนอวางอยู่บนหลักการและงานวิจัยและมีตัวอย่างจากประสบการณ์จริงมาสนับสนุนนะครับไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ

เทคนิค (แม่แบบ) การสร้างสิ่งใหม่ๆ แนวๆ จากโลกปิด (คิดในกรอบ)
๑. เทคนิคลบออก ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือรุ่นรับสายได้อย่างเดียว ส่วนที่ลบออกคือความสามารถในการโทรออก แล้วใครอยากได้โทรศัพท์รุ่นนี้ ก็พ่อแม่ที่อยากจะโทรถามและโทรตามลูกๆ แต่ไม่อยากให้ลูกใช้โทรออกฟุ่มเฟือยคุยกับเพื่อนๆ หรือใครๆ 
๒. เทคนิคแยกส่วน เช่น การแยกมอเตอร์กับตัวปล่อยลมของเครื่องปรับอากาศออกจากกัน ตัวนึงอยู่ในบ้านอีกตัวอยู่นอกบ้าน หรือการเช็คอินไฟลท์จากคอมพิวเตอร์ที่บ้านแยกจากการเช็คอินที่เคาท์เตอร์ในสนามบิน
๓. เทคนิคการเพิ่มจำนวน เช่น มีดโกนหนวดที่มีใบมีด ๒ ใบ ใบแรกไว้ตัดให้สั้นใบที่สองเปลี่ยนองศานิดหน่อยไว้ตัดหนวดให้เกลี้ยง
๔. เทคนิคการรวมหน้าที่ เช่น ม้าหมุนเครื่องเล่นเด็กกับการปั๊มน้ำ เมื่อเด็กเริ่มเล่นและหมุน เครื่องเล่นก็จะปั๊มน้ำขึ้นมาเก็บไว้ในแท็งพร้อมใช้ต่อไป 
๕. เทคนิคการเชื่อมโยง โดมิโนพิซซ่าสร้างความเชื่อมโยงระหว่างราคาพิซซ่ากับระยะเวลาการจัดส่ง ถ้าพนักงานส่งช้าเกิน ๓๐ นาทีลูกค้าไม่ต้องจ่ายค่าพิซซ่า โดมิโนพิซซ่าสามารถเพิ่มยอดขายด้วยวิธีการนี้

สำหรับข้าพเจ้าแล้วหลักการหลักๆ ที่เราต้องตระหนักในการคิดสร้างสรรค์คือ คลายความยึดติดและต้องจดจ่อ เมื่อเราเป็นอิสระและมีความจดจ่อความคิดดีๆ และความเป็นไปได้ใหม่ๆ จะโดดเด้งออกมาเอง 

เป็นหนังสือน่าอ่านอีกเล่มที่อยากแนะนำเนื้อหาดีๆ ยังมีอีกมาก ตัวอย่างเยอะอ่านแล้วไม่เบื่อ 

ขอขอบคุณ

salindongbayu

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

รีวิวหนังสือ "Quiet | พลังของคนเงียบในโลกที่ไม่เคยหยุดพูด"

บิสมิลละฮ์ ฮิรเราะห์มาน นิรรอฮีม


หนังสือ 

"Quiet|พลังของคนเงียบในโลกที่ไม่เคยหยุดพูด          

ผู้เขียน ซูซาน เคน
ผู้แปล นงนุช สิงหเดชะ
สำนักพิมพ์ มติชน

Introvert อินโทรเวิร์ต คือคนที่มีแนวโน้มครุ่นคิด หนอนหนังสือ ถ่อมตน อ่อนไหว จริงจัง พินิจพิเคราะห์ ถูกกำกับด้วยความรู้สึกภายใน อ่อนโยน สงบ มีความพอประมาณ แสวงหาความสันโดษ 
Extrovert เอ็กซ์โทรเวิร์ต คือคนที่มีแนวโน้มชอบแสดงออก กระตือรือร้นสูง เปิดเผย ช่างสังคม น่าตื่นเต้น ชอบครอบงำ ยืนหยัด กระฉับกระเฉง ถูกกำกับด้วยสิ่งที่อยู่ภายนอก ร่าเริง กล้าหาญ และมีความสบายใจที่ได้รับความสนใจจากผู้คน


การดำเนินชีวิตในโลกที่คนพูดเก่งเข้าสังคมเป็นถูกให้ค่าอย่างสูง มันชั่งเป็นสถานการณ์และสถานที่ๆ บีบคั้นคนอินโทรเวิร์ตเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่ต้องพบปะสมาคมกับคนกลุ่มใหญ่เรารู้สึกเหมือนพลังงานในร่างกายสำหรับวันนั้นถูกดูดผลาญเกือบหมด การกลับบ้านหรือหาที่เงียบๆ (ซอกมุมเพื่อฟื้นฟูตัวเองสู่สภาพเดิม) นั่งรอให้พลังงานของเรากลับคืนมาคือสิ่งที่จะต้องทำเพื่อจะดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ต่อไปได้ ฟังดูอาจจะเกินเลยแต่คนอินโทรเวิร์ตคงเข้าใจดีว่าสถานการณ์อย่างนี้คือกิจวัตรที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวี่วัน


สังคมปัจจุบันถูกออกแบบให้รองรับการใช้ชีวิตของคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตเสียส่วนใหญ่ สถาบันหลักในสังคมเช่น โรงเรียนหรือมหาลัยต่างก็เป็นเบ้าหลอมผลิตคนออกมาเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานแทบทั้งสิ้น ขณะที่คนอินโทรเวิร์ตต้องการคำชี้แนะที่แตกต่างจากคนเอ็กซ์โทรเวิร์ต จึงเป็นเรื่องเดือดร้อนแก่คนอินโทรเวิร์ตที่จะต้องหาที่ทางให้ตัวเอง หรือไม่ก็ปรับบุคลิกภาพให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนเอ็กโทรเวิร์ตในสังคมเอ็กซโทรเวิร์ตให้ได้ แต่นั่นคือปัญหาอีกอย่างเพราะการปรับหรือการเปลี่ยนล้วนใช้พลังงานอย่างมากอยู่ดี  


ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมโรงเรียนหรือพี่ชายจึงพยายามสอนสั่งแกมยัดเยียดให้ต้องเป็นคนที่พูดและสมาคมเก่ง โรงเรียนพยายามบอกว่าและยกยอคนพูดเก่งเป็นอย่างมาก ทั้งที่เวลาฟังเขาพูดก็ไม่มีอะไรในกอไผ่เลย ได้แต่จับนั่นมาผสมนี่และขยายความ (เรารู้ว่าเขาทำอย่างนั้นแต่เราก็ทำอย่างเขาไม่เป็น) พี่ชายพยายามยัดเยียดว่า เราต้องรู้จักสมาคมกับคนในหมู่บ้านเพื่อมีจะมีชีวิตที่ดี (ไม่เคยปฏิเสธว่าดี แต่ก็ไม่อยากฝืนทำ) และเมื่อทำไม่ได้เฉกเช่นเขาเหล่านั้นกลับกลายเป็นว่าเรามีความผิดที่พฤติตัวไม่ได้ตามมาตราฐานของสังคม 


เห็นหัวข้อหนังสือเล่มนี้ คือมันปังมาก มันเป็นคำถามตั้งแต่เยาว์วัยว่า แล้วจะเอายังไงดี คือคุณทั้งหลายเอามาตราฐานของตัวเองที่คิดว่าดีมายัดเยียดให้คนอื่น โดยลืมคิดไปว่าสิ่งเหล่านั้นมันเหมาะกับเขาหรือไม่ คนที่พูดเก่ง กระฉับกระเฉง เข้ากับคนอื่นได้ดีได้รับการยกย่อง ได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่น ได้รับการยอมรับจากผู้คน แล้วมันใช่เหรอ? คนที่ไม่ได้มาตราฐานอย่างคนที่ไม่ชอบแสดงออก เขาหรือเธอเหมือนจะไม่มีตัวตนหรือพื้นที่ในสังคมโรงเรียนหรือในสังคมข้างนอก มันเป็นความโน้มเอียงที่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย คนที่เกิดมาพร้อมด้วยบุคลิกชอบแสดงออก เขาเหล่านั้นไม่ต้องผืนหรือฝึกอะไรมากมาย ไม่ต้องใช้ความพยายามเพราะมันคือตัวเขา เพียงแต่ทำตัวเป็นธรรมชาติแล้วได้รับสิ่งดีๆ แต่คนอินโทรเวิร์ตที่ทั้งพยายาม ทั้งผืนตัวเองให้ใกล้เคียงคนเอ็กซโทรเวิร์ตกลับถูกเมินในสังคมเอ็กซโทรเวิร์ตกระนั้นเหรอ


ในหนังสือเราจะได้รับรู้ถึงความเป็นมาของสังคมที่ยกให้เอ็กซโทรเวิรต์คืออุดมคติ หนังสือยังบอกกล่าวข้อมูลให้คนอินโทรเวิร์ตรู้จักตัวเองมากขึ้น ขณะเดียวกันก็บอกกล่าวแก่คนเอ็กซ์โทรเวิร์ตถึงความต่างของเพื่อนอินโทรเวิร์ตที่ดำรงอยู่ในสังคม หนังสือยังยกตัวอย่างบุคคลอินโทรเวิร์ตที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในสังคมโดยที่ยังคงดำรงไว้คุณลักษณะอินโทรเวิร์ต จากหลักฐานการวิจัยของผู้เขียนระบุว่า พื้นที่แถบเอเชียมีวัฒนธรรมแบบอินโทรเวิร์ตมากกว่าเมื่อเทียบกับทวีปอื่น ดังนั้นแนวโน้มที่คนเอเชียจะเป็นคนอินโทรเวิร์ตจึงมีมากกว่าที่อื่น แต่เอาเข้าจริงคนๆ หนึ่งอาจจะมีบุคลิกที่ผสมกันระหว่างเอ็กโทรเวิร์ตและอินโทรเวิร์ตซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เขาหรือเธอกำลังเผชิญ 

ประโยคดีๆ จากหนังสือ
ถ้าคุณเป็นคนอินโทรเวิร์ต คุณรู้ว่าอคติที่มีต่อความเงียบสามารถก่อให้เกิดความเจ็บปวดทางจิตวิญญานอย่างลึกซึ้ง

คนบางคนไม่ชอบทั้งการเป็นผู้นำและถูกนำ

นักเรียนในโลกปัจจุบันกำลังอาศัยอยู่ในโลกที่ฐานะ รายได้ และความภาคภูมิใจในตนเองขึ้นอยู่กับความสามารถในการสนองความต้องการของวัฒนธรรมบุคลิกภาพ (การแสดงออก/ตัวตน) มากกว่าครั้งไหนๆ 

คนอินโทรเวิร์ตชอบที่จะทำงานอย่างอิสระมากกว่า และบ่อยครั้งความสันโดษมีความจำเป็นต่อความคิดสร้างสรรค์และผลผลิต

นักจิตวิทยามักจะให้คำอธิบาย 3 ประการสำหรับความล้มเหลวในการระดมสมองเป็นกลุ่ม 1.การอยู่เป็นกลุ่มทำให้เกิดความขี้เกียจ การอยู่เป็นกลุ่มจะทำให้บางคนถอยออกไปและปล่อยให้คนอื่นทำงาน 2. การขัดขวางการผลิต จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถพูดหรือสร้างไอเดียได้ทันที ขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ถูกบังคับให้นั่งฟังอยู่เฉยๆ 3. ความเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินผล คือ ความกลัวที่ว่าตัวเองจะดูโง่ต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน

ผลการศึกษาของเคเกนระบุว่า เด็กอินโทรเวิร์ตมีลักษณะเหมือนดอกกล้วยไม้ นั่นคือพวกเขาเหี่ยวเฉาง่าย แต่ถ้าหากอยู่ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม พวกเขาสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและงดงาม

ความอ่อนไหวและความแข็งแกร่งทางอารมณ์ของเด็กอินโทรเวิร์ตนั้นมาคู่กันเป็นแพ็กเกจ

แท้จริงความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนอินโทรเวิร์ตอาจเป็นการได้ใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของเขาอย่างเต็มที่

แนวทางการค้นหาโครงการส่วนตัว (งาน/ความหลงใหล)
1.คิดย้อนกลับไปหาสิ่งที่คุณรักที่จะทำเมื่อตอนเป็นเด็ก แรงจูงใจจะอยู่ที่นั่นเสมอ 2. ให้ความสนใจกับงานที่คุณถูกดึงดูดเข้าหา 3. ให้ความสนใจกับสิ่งที่คุณอิจฉา ส่วนใหญ่แล้วเราจะอิจฉาคนที่มีในสิ่งที่เราปราถนา

ผลการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า 1 ใน 3 หรือหนึ่งในสามของคนเราเป็นพวกอินโทรเวิร์ต

เมื่ออ่านหนังสือจบข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าควรจะรีวิวหนังสือเล่มนี้ดีหรือไม่ เพราะมันน่าจะเป็นงานวิจัยก่อนมาเป็นงานเขียน หลักฐานสนับสนุนความคิดหรือสมมุติฐานของผู้เขียนเยอะมาก จนรู้สึกว่าเป็นหนังสือที่เคี้ยวยาก แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้คนเอ็กซ์โทรเวิร์ตได้เรียนรู้และคนอินโทรเวิรต์อื่นๆ ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสลองอ่านดู มีข้อมูลใหม่ๆ เยอะมากๆ ที่เราสามารถเอามาปรับใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้ดี สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าสนใจเป็นพิเศษจากหนังสือเล่มนี้คือ ทฤษฏี "ลักษณะเฉพาะที่เสรี" ของ อาจารย์ไบรอัน ลิตเติ้ล มันคือทฤษฏีที่บอกว่าคนอินโทรเวิรต์สามารถที่จะแสดง (หรือแสร้งทำ) คุณลักษณะเอ็กซ์โทรเวิร์ตเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ให้คุณค่าสำหรับตัวเอง การแสร้ง/การแสดง เป็นอะไรที่หนักหน่วงสำหรับคนอินโทรเวิร์ตอย่างมาก เราเป็นคนจำพวกที่ซื่อสัตย์ต่อตนเองเป็นอย่างสูง การแสร้งหรือแสดงคือการโกหกตัวเองที่สามารถทำลายอัตลักษณ์ที่เรายึดถือและยืนหยัดมาตลอด การเรียนรู้ที่จะเป็นคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราอยากทำ แต่เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ให้คุณค่าบางทีเราอาจจะยินยอมที่จะแสร้งทำเป็นคนเอ็กซ์โทรเวิรต์ในบางเวลาและโอกาส จากนั้นเราก็กลับไปจมอยู่กับกองหนังสือต่อไป "พวกเราแต่ละคนจะประพฤติตัวไม่ตรงตามอุปนิสัยในบางเวลา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการเป็นตัวตนของเราในช่วงเวลาที่เหลือ" อย่างที่ทฤษฏีได้กล่าวไว้ 

สุดท้ายแล้วการเป็นคนเอ็กโทรเวิร์ตหรืออินโทรเวิร์ตไม่มีใครดีไปกว่าใคร เพราะทั้งสองคุณลักษณะต้องคอยเกื้อหนุนกันอยู่ตลอดเวลา เช่นกลางวันกับกลางคืน น้ำกับไฟ แต่ที่มันผิดเพี้ยนคือการให้ค่าแก่คุณลักษณะเอ็กโทรเวิรต์มากเกินไปและกดทับอินโทรเวิรต์จนไม่เห็นค่าหรือคิดว่าการเป็นคนอินโทรเวิร์ตคือโรคอย่างหนึ่งที่ต้องรักษา ข้าพเจ้ามองว่าสิ่งนั้นคือการเห็นแก่ตัว เพียงเรามองเห็นความต่างของทั้งสองคุณลักษณะและปล่อยให้ทั้งสองดำรงต่อไปตามวิถีทางของตัวเองนั่นคือจุดสมดุลที่เราควรตระหนักมิใช่หรือ

"พวกเราทั้งหมดเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความซับซ้อนอย่างสวยงาม" 

ขอขอบคุณ
salindongbayu

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

รีวิวหนังสือ "The EQ Factor | Genius ทางอารมณ์"

บิสมิลละฮ์ ฮิรเราะห์มาน นิรรอฮีม


ชื่อหนังสือ 

"The EQ Factor|Genius ทางอารมณ์          

ผู้เขียน แครธริน ทรงพัฒนะโยธิน

เคยถามตัวเองไหมว่าจะหยุดอารมณ์เศร้าที่ประสบอยู่ได้อย่างไร หรือการพยายามบอกตัวเองว่า ห้ามโกรธ อย่าโกรธ ใจเย็นไว้ๆ ขณะที่มีปัญหากับใครบางคน เหล่านี้คือการพยายามต่อสู้และเรียนรู้อารมณ์ของเราในชีวิตประจำวัน อารมณ์เป็นได้ทั้งศัตรูตัวฉกาจและมิตรแท้อันประเสริฐ อารมณ์สามารถสร้างความขุ่นเคืองให้ทั้งตนเองและเพื่อนร่วมโลกและก็เป็นอารมณ์อีกนั่นแหละที่ให้ความสุขเราล้นเหลือประมาณ ใครที่รู้จักบริหารจัดการอารมณ์จึงเป็นผู้ที่ความสามารถมากถึงมากที่สุด และได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ "...สิ่งที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของมนุษย์ก็คือ อารมณ์ นั่นเอง" 

ผู้เขียนยังระบุว่า "ไม่น่าเชื่อเลยว่าความเข้าใจที่มีต่อสิ่งเพียงสิ่งเดียว (อารมณ์) จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปมากมาย ตั้งแต่การสมัครงานไปจนถึงการทำธุรกิจ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและอบอุ่นกับเพื่อนและครอบครัว" ความเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์นี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนอยากจะแบ่งปันเรื่องราวดีๆ เหล่านั้นให้ผู้อื่นต่อไป

หนังสือ "Genius ทางอารมณ์" เป็นหนังสือจิตวิทยาอ่านง่าย เคี้ยวง่าย เคี้ยวเพลิน และอ่านได้เร็วอย่างที่ผู้เขียนตั้งใจไว้จริงๆ เนื้อหาที่ไม่ได้อัดแน่นจนเกินไปแต่ก็เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการจะรู้จักตัวเองและเพื่อนมนุษย์รอบๆ ตัว หนังสือถูกออกแบบให้มีสองส่วนซึ่งก็คือใจความหลักที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอการเป็นคนมีความฉลาดทางอารมณ์ นั่นคือการรู้จักผู้อื่น (เช่น การสานสัมพันธ์ การวางตัว การประเมินผล) และการรู้จักตัวเอง (เช่น ต้นทุนทางอารมณ์ ความไวต่อสิ่งเร้า จุดพอดีของตัวเอง)  หากสามารถผสานและปรับใช้สองส่วนนี้ได้อย่างลงตัวเราก็จะสามารถมีความสุขในแบบฉบับที่เราต้องการได้ 

ประโยคดีๆ จากหนังสือ
...มนุษย์ต่างก็เกิดมาพร้อมกับความสามารถในการจินตนาการและจดจ่ออยู่กับอารมณ์เชิงลบตลอดเวลา...นี่เป็นกลไกตามธรรมชาติของสมองที่มีเป้าหมายในการเป็นพี่เลี้ยงดูแลความปลอดภัยให้กับเราโดยจะคอยสอดส่องสิ่งที่จะเป็นอันตรายกับเราแม้ในสถานการณ์ปกติ

สัญชาติญานเบื้องลึกของมนุษย์ที่ทำให้ชอบคนที่มีเป้าหมาย นั่นเพราะสมองมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ไม่ชอบความ "ไม่แน่นอน" 

การบริหารการติดต่อทางอารมณ์ (คือการส่งต่อมวลอารมณ์ที่เราปราถนาให้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา) 

เด็กที่เกิดมาบนโลกใบนี้ เกิดมาเป็นผ้าขาว แต่ไม่ได้ขาวโทนเดียวกัน เด็กแต่ละคนเกิดมาขาวคนละเฉด เป็นความแตกต่างในตัวทางพันธุกรรม (ต้นทุนทางอารมณ์) 


เราต้องคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับตัวเอง คอยสังเกตอุปนิสัยของตัวเองและขวนขวายที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายและจิตใจของตัวเองให้มากๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกหล่อหลอมขึ้นมาอย่างเป็นเอกลักษณ์

ประโยชน์ของการเข้าใจตัวเองเป็นอย่างดีคือ เราไม่ต้องรอให้คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ตัวเรา เพราะเราเองมีความเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น เราสามารถอธิบายได้ถึงเหตุผลของความเศร้าและความสุขของเรา...สามารถแก้ปัญหาและวางเป้าหมายที่เหมาะสมกับตัวตนของเรา...

การหา "Sweet Spot" ของชีวิต...นิยามความสุขของคนเราไม่เหมือนกัน เราจะไม่ปล่อยให้วิถีชีวิตคนอื่นมาสร้างถนนที่ยาวขึ้นให้กับตัวเรา คนฉลาดใช้ชีวิตจะรู้จักประเมินผล ยืดหยุ่นและปรับ "จุดที่พอดี" ของชีวิตตัวเอง บางคนปรับจุดพอดีให้ไกลขึ้นเมื่อเข้าใจถึงศักยภาพของตัวเอง บางคนก็ปรับจุดพอดีนั้นให้ใกล้ขึ้นหากเขาพบว่าความสำเร็จนั้นสมบูรณ์ที่สุดแล้วสำหรับเขา

การฝึกซ้อมใดๆ ก็ตามที่สมองไม่ได้รับอิสระให้เพ่งสมาธิไปถึงจุดที่เรายังทำได้ไม่ดี ล้วนแต่เป็นการฝึกซ้อมให้เราทำในสิ่งเดิมๆ ที่เราทำได้ดีอยู่แล้วให้คล่องขึ้นเท่านั้นเอง


ขอขอบคุณ
salindongbayu


วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

รีวิวหนังสือ "ทำน้อยให้ได้มาก The Power of Less"

บิสมิลละฮ์ ฮิรเราะห์มาน นิรรอฮีม


ชื่อหนังสือ 

"ทำน้อยให้ได้มาก The Power of Less          

ผู้เขียน Leo Babautu
ผู้แปล วิกันดา พินทุวชิราภรณ์
สำนักพิมพ์ วีเลิร์น (We Learn)

"ไม่เคยมียุคใดที่เราสามารถทำสิ่งต่างๆ มากมายให้สำเร็จได้เร็วเท่าปัจจุบัน แต่ก็ไม่เคยมียุคใดเช่นกันที่เราต้องจัดการกับเรื่องที่ประดังประเดเข้ามามากมายอย่างนี้

ภาระหน้าที่ๆ เหมือนจะไม่มีวันลดลง ทั้งเรื่องส่วนตัวและการงาน ต่างเรียกร้องเวลาจากเราให้ลงมือกระทำอะไรซักอย่างเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่เขาหรืองานนั้นๆ เรียกหา หน้าที่ๆ ต้องรับผิดชอบ หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ลูก ครอบครัว และจิปาถะที่วิ่งเข้าชนเราในแต่ละวัน คือรู้สึกว่า เออ...มันจะเยอะไปไหม ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการชีวิตอย่างนี้นะ แล้วจะมีวิธีการใดบ้างที่สามารถจะบรรเทาหรือกำจัดความวุ่นวายจากสิ่งที่เข้าหา หนังสือเล่มนี้คงจะมีคำตอบให้บ้างไม่มากก็น้อย 

"ทำน้อยให้ได้มาก" เป็นหนังสือฮาวทูที่ปฏิบัติได้จริงๆ และง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วจะมีอะไรดีไปกว่า ทำง่าย ทำน้อย แต่ได้มากอีกเล่า วิธีการหนึ่งที่ข้าพเจ้าชอบมากจากหนังสือเล่มนี้คือ แบ่งซอยแล้วทำไปทีละอย่าง ในชีวิตเราไม่ใช่ว่าจะมีแต่การงานหรือกิจกรรมที่ง่ายดายเสมอไป งานที่ยากเย็นต้องทำใจเป็นนานกว่าจะลงมือได้และสุดท้ายก็จบลงที่ผัดวันประกันพรุ่ง หนังสือเล่มนี้แนะนำให้ตัด แบ่ง ซอย แล้วทำมันไปทีละอย่าง ไม่ต้องเร่งไม่ต้องรีบเพราะจะยิ่งช้า อะไรที่ใจเรายิ่งเร่งอยากให้มันลุลวง มันจะยิ่งมีแรงหนืด ติดนั่นติดนี่ และจบแบบไม่ปราณีต ลองเขียนสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้งานหินลุลวง แบ่งตัดเป็นกิจกรรมเล็กๆ แล้วทำมันไปทีละอย่างเรื่อยๆ มันจะประกอบขึ้นเป็นผลสำเร็จในไม่ช้า 

แก่นของการทำน้อยให้ได้มากคือ 1.มองหาและจดจ่อสิ่งสำคัญ
2.และกำจัดส่วนที่เหลือ

ส่วนหลักการๆ การทำน้อยให้ได้มากคือ
1.สร้างข้อจำกัด ชีวิตที่ไร้ข้อจำกัดก็เหมือนการเทสีแดงถ้วยหนึ่งลงในมหาสมุทร แล้วมองดูมันจากหายไปในพริบตา ในขณะที่การจดจ่อภายใต้ข้อจำกัดเปรียบเสมือนการเทสีแดงถ้วยเดียวกันลงไปในถังน้ำสี่ลิตร
2.เลือกแต่สิ่งสำคัญ อะไรที่สร้างผลกระทบมากที่สุดในระยะยาว เราควรถามตัวเองอยู่เสมอว่าอะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับเรา
3.ทำให้เรียบง่าย คือการกำจัดสิ่งที่ไม่สำคัญ
4.จดจ่อ การทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันจะเพิ่มความซับซ้อนซึ่งส่งผลให้เราเคร่งเครียดและอาจทำผิดพลาดมากขึ้น
5.สร้างนิสัย เล่มนี้อาจช่วยได้
6.เริ่มจากสิ่งเล็กๆ 

ตัวอย่างประโยคดีๆ จากหนังสือ
ในยุคเทคโนโลยีอย่างปัจจุบัน เราบริโภคข้อมูลเหมือนพยายามจิบน้ำจากสายดับเพลิง โดยไม่รู้เลยว่าจะลดความแรงของน้ำลงอย่างไรดี 

การพยายามทำให้ได้มากๆ หมายความว่าเรามีแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่ไม่สำคัญเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ต้องทำงานหนักเกินจำเป็นและรู้สึกเครียดในเวลาเดียวกัน 

เราควรใช้เวลาและพลังที่มีอยู่อย่างจำกัดไปกับสิ่งที่ส่งผลกระทบในระยะยาว นั่นถือเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด

ถ้าเราไม่จดจ่อ เราจะไม่มีทางบรรลุเป้าหมาย เว้นเสียแต่ว่ามันเป็นเป้าหมายที่ง่ายจนน่าจะเกิดขึ้นได้เองโดยแทบไม่ต้องทำอะไร

ทำงานที่สำคัญที่สุดเป็นอย่างแรกในตอนเช้า

ระบบเป้าหมายหนึ่งเดียว (One Goal System) คือการจดจ่อกับเป้าหมายไปทีละอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ
ถ้าเราไม่แบ่งเป้าหมายให้เป็นขั้นตอนย่อยๆ เราจะมีแต่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และเลื่อนลอย 

จำนวนภาระหน้าที่ของเราไม่ได้ล้นทะลักขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุย แต่เป็นเพราะเราค่อยๆ อ้าแขนรับมันเข้าสู่ชีวิตต่างหาก 

จริงๆ แล้วการทำชีวิตให้เรียบง่ายขึ้นก็คือการหาเวลาให้กับสิ่งที่เราอยากทำนั่นเอง

ผม (ผู้เขียน) ค้นพบว่าบ้านที่สะอาดเรียบง่ายและปราศจากความรกรุงรังนั้น สามารถสร้างความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงให้กับภาวะจิตใจ ความสุข และประสิทธิภาพในการทำงาน

ทุกวันนี้เราบริโภคข้อมูล สื่อ และอาหารด้วยอัตราเร็วที่น่าหวาดเสียว...ปัญหาคือเราไม่ได้ถูกสร้างมาให้ใช้ชีวิตในรูปแบบนี้ ร่างกายและจิตใจของเราเหมาะกับจังหวะชีวิตที่ช้ากว่าที่เป็นอยู่ เราสามารถรับมือกับความเครียดจากการถูกไล่ล่าเป็นบางครั้งได้ แต่เราไม่สามารถรับมือกับความเครียดที่ถาโถมเข้ามาอยู่ตลอดเวลา 

ถ้าเรารีบไปให้ถึงจุดหมายอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะไปถึงปลายทางอย่างมีความสุขได้อย่างไร ชีวิตคือการเดินทาง ดังนั้นจงเดินทางอย่างมีความสุข


ขอขอบคุณ
salindongbayu

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

รีวิวหนังสือ "ต้นส้มแสนรัก ภาค1"

บิสมิลละฮ์ ฮิรเราะห์มาน นิรรอฮีม


ชื่อหนังสือ 

"ต้นส้มแสนรัก ภาค1          

ผู้เขียน Jose Mauro de Vasconcelos
ผู้แปล สมบัติ เครือทอง
สำนักพิมพ์ ประพันธ์สาส์น

ต้นส้มแสนรักวรรณกรรมสำหรับเด็ก (อ่านจบชักไม่แน่ใจ) เก่าเก็บขึ้นหิ้งหนึ่งใจดวงใจข้าพเจ้าเรื่อยมา ผู้แต่งเขียนได้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นความรู้สึกเหลือเกิน ทั้งสวยงาม บริสุทธิ แต่มันคือความจริงของชีวิตที่เจ็บปวด ร้องไห้หนักมาก นั่นเป็นความรู้สึกตอนที่ปิดเล่มอ่านจบเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว 


ผ่านกว่าทศวรรษความมุ่งมั่นที่จะรีวิวและบอกต่อให้ผู้อื่นได้อ่านไม่เคยเลือนหาย จวบจนวันที่ได้ลงมือรีวิวเสียที หยิบหนังสือกลับมาอ่านอีกรอบความรู้สึกครั้งเก่าก่อนได้หายไปสิ้น กาลเวลาที่ล่วงผ่าน อายุที่มากขึ้น บวกกับประสบการณ์ที่เก็บเล็กผสมน้อยมาตามรายทางชีวิต แว่นตาอันเก่าที่ใช้มองโลกมันเปลี่ยนไป ณ ปี 2559 ความคิดแรกที่วิ่งเข้ามาหลังอ่านจบ คือ ทำไมผู้แต่งถึงได้รำพึงรำพันต่อชีวิตมากมายอย่างนี้ ไม่ได้ปฏิเสธว่าความจริงอันเจ็บปวดที่ถูกจรดในหนังสือมันมีอยู่จริง แต่แง่งามของชีวิตมีตั้งมากมายแล้วจะหยิบเอาประสบการณ์ที่ไม่น่าพิศมัยมาปัดฝุ่นให้เด่นชัดขึ้นเพื่อคอยสะกิดด้านไม่งามของชีวิตอยู่ทำไม

เราจะได้รู้จัก เซเซ่ หนูน้อยวัยห้าขวบที่ความนึกคิดแก่เกินวัย เซเซ่มีจินตนาการอันล้ำลึก จิตใจอันดีงามที่เต็มงาม (คือในวัยขนาดนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันดีงามจนเต็ม) และความคิดอันบริสุทธิ เป็นหนูน้อยที่ชั่งเก็บรายละเอียดทางความรู้สึก นั่นแหละที่ทำให้เซเซ่ทั้งบริสุทธิและรู้จักชีวิตในวัยที่ไม่น่าจะเข้าถึง ความแร้นแค้นนี่สอนคนได้ดีจริงๆ 

ตัวอย่างประโยคดีๆ จากหนังสือ
ไม่ใช่อย่างนั้นฮะ ครู โลกเป็นของพระเจ้า ใช่มั้ยฮะ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นของพระเจ้า ดังนั้น ดอกไม้พวกนั้นก็เหมือนกัน...

...ไม่ใช่ ฉัน (เซเซ่) จะฆ่าเขา (พ่อ) ในหัวใจของฉัน ด้วยการหยุดรักเขา แล้ววันหนึ่งเขาก็จะตาย

ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าความเจ็บปวดที่แท้จริงนั้นคืออะไร ความเจ็บปวดมันไม่ใช่การถูกตีจนสลบไสลหรอก (เซเซ่เคยถูกพ่อของตัวเองตีจนสลบเพราะความเครียดจากการตกงาน) ไม่ใช่การถูกเศษแก้วบาดเท้าและถูกเย็บแผลที่ร้านหมอ ความเจ็บปวดคืออะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้หัวใจของคุณแตกสลายและต้องตายจากไปโดยไม่อาจที่จะเล่าความลับของคุณให้ใครฟังได้เลย (เซเซ่ต้องเก็บความลับที่ว่าไม่ได้รักพ่อที่ให้กำเนิดด้วยการหยุดรักเขา แต่รับความรักจากชาวโปรตุเกตที่รักเขาเสมือนลูกแทน เซเซ่อยากจะรำพึงรำพันเรื่องนี้กับใครซักคนในวันที่คนโปรตุเกตตายไปแต่ก็ทำไม่ได้) ความเจ็บปวดที่ทำให้แขนขา สมองของคุณไร้เรี่ยวแรงให้ใครฟังได้เลย ความเจ็บปวดที่ทำให้แขนขา สมองของคุณไร้เรี่ยวแรง ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะพลิกใบหน้ากลับไปกลับมาบนหมอนที่หนุนอยู่

การตายสำหรับคนบางคนนั้นดูง่ายดายเสียเหลือเกิน...แต่สำหรับผม การไปสวรรค์นั้นยากเหลือเกิน ทุกคนช่วยกันฉุดขาไว้ไม่ให้ผมไป

ถึงแม้ว่าความรู้สึกจากการอ่านในวันนี้ต่างจากวันวาน แต่ก็ยังอยากจะแนะนำให้คนอื่นได้อ่านนิยายดีๆ สะท้อนสังคมบราซิลเล่มนี้อยู่ดี หนังสือเก่าไม่รู้ว่าจะยังหาจากร้านหนังสือได้หรือไม่ แล้วคุณจะทั้งรักและสงสารเซเซ่อย่างสุดซึ้งที่สุด 

ขอขอบคุณ
salindongbayu