"ด้านมืดของผู้ตามหาแสงสว่าง | The Dark Side of the Light Chasers"
ผู้เขียน Debbie Fordผู้แปล ภัทริณี เจริญจินดา
สำนักพิมพ์ โอ้มายก้อด
บทสรุปรวบยอดของหนังสือเล่มนี้คือการยอมรับตัวเองทั้งในด้านดีและด้านที่ไม่ดี
เพื่อการมีชีวิตที่เต็มอิ่มอย่างคลี่คลายและปลอดโปร่ง
เราไม่สามารถที่จะมีชีวิตที่ผ่อนคลายและเต็มอิ่มได้หากเรายังไม่สามารถยอมรับด้านแย่ๆ
ในตัวเราอย่างเต็มใจยิ่ง ยอมรับว่ามันอยู่ตรงนั้น
ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายหรือพยายามเปลี่ยนแปลง
ไม่ต้องพยายามเป็นอย่างอื่นเพื่อที่เราจะไม่ต้องเป็นเราในด้านแย่ๆ
หรือด้านที่เราไม่อาจยอมรับได้ การทำเช่นนั้นต้องใช้ความพยายามมากมาย
การยอมรับด้านดีของตนอาจเป็นเรื่องง่ายกว่า และการยอมรับว่าเป็นคนขี้บ่น เอาเปรียบ
หรือ ชอบโอ้อวด แค่คิดจะยอมรับก็ยากแล้ว เช่นนั้นการยอมรับด้านแย่ๆ
จึงควรมาพร้อมกับการเฟ้นหาประโยชน์ที่มีจากด้านที่ไม่ดีเหล่านั้น เช่น
หากต้องรับมือกับการหยิบยืมเงินจากเพื่อนๆ หรือญาติๆ ตลอดเวลาโดยขาดความเกรงใจ
การเป็นคนขี้บ่นบ้างในกรณีนี้จะทำให้พวกเขาเกรงใจเราขึ้นมาบ้างหรือไม่
หนังสือเปรียบตัวตนของเราเป็นดังปราสาทที่มีห้องหับมากมาย
อาจมีห้องอันวิจิตตระการตา ห้องที่สะอาด ห้องที่เข้าไปแล้วผ่อนคลาย
รวมถึงอาจมีห้องที่มืดๆ ห้องที่สกปรก และห้องที่รกรุงรังน่าเกลียด
แต่ทั้งหมดนั้นเมื่อรวมกันมันคือปราสาทหลังใหญ่ มีความหลากหลาย
มีความคละเคล้าและหลอมรวม
เมื่อเรายอมรับได้ว่าประสาทแห่งนี้มีทั้งห้องที่น่าอยู่และห้องที่น่าเกลียด
(บางครั้งเราอาจจะอยากเข้าไปดูห้องหน้าเกลียดนั้นว่าหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างก็ได้)
ประสาทแห่งนี้จึงจะดูมีชีวิตชีวาขึ้น ตัวเราก็เช่นนั้นมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี
เพียงแต่ยอมรับมันไว้
เราอาจเผยด้านดีออกมาและเก็บด้านไม่ดีไว้ใช้ประโยชน์ในยามจำเป็น
เมื่อยอมรับได้เช่นนี้เราจึงไม่ต้องเสียพลังงานเพื่อกลบและปกปิด
และไม่ต้องเสียพลังงานเพื่อที่จะต้องไม่เป็นเรา
ชีวิตจึงจะผ่อนคลายและเต็มอิ่มยิ่งขึ้น เพราะเราแผ่จนเต็มแล้ว
# เงามืดในตัวเรา
เงามืดคือแหล่งซ่อนตัวคุณสมบัติที่เราเกลียดเกี่ยวกับตัวเอง
เราซ่อนคุณสมบัติมืดๆ ไว้ในเงามืดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นมัน
เพราะเรายอมรับมันไม่ได้ แต่การจะมีชีวิตปกติสุขจากภายในอย่างสมบูรณ์
เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยอมรับให้ได้ว่าเรามีคุณสมบัติมืดๆ นั้น
คุณสมบัติที่เราไม่อยากมองและไม่อยากเห็น มันมีอยู่ในตัวเราตลอดเวลา
เราคิดว่าคนอื่นไม่ยอมรับ เราจึงไม่อาจยอมรับมันได้ เราไม่เคยใส่ใจมันเลย
เพราะมันสร้างความทุกข์ให้เรา
หากเราจะอ่อนโยนต่อตนเองบ้างด้วยการโอบรับคุณสมบัติที่เราไม่ปรีดาให้มันอยู่
แค่ยอมรับว่ามันมีอยู่ ถึงมันจะไม่ดีอย่างไรก็แค่ยอมรับว่ามันมี
เราไม่จำเป็นต้องใช้มันหรือเราอาจอยากใช้มันบ้างในบางครั้ง
# ตัวตนที่ถูกทอดทิ้ง
เรามักจะโยนสิ่งที่อยู่ในตัวเรา (ความคิด
ความรู้สึก ความต้องการ นิสัย และคุณสมบัติ) ไปใส่ตัวคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเราไม่ยอมรับคุณสมบัติใดก็ตามที่อยู่ในตัวเรา
เราจะโยนคุณสมบัตินั้นไปที่คนอื่น ผู้เขียนเปรียบอารมณ์ของเราเป็นเต้าเสียบหลายๆ
อันอยู่บนหน้าอกเรา เต้าเสียบหนึ่งอันแทนอารมณ์หรือความคิด ฯลฯ อย่างนึง
อารมณ์ใดที่เรายอมรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราจะมีฝาปิดไว้
ซึ่งก็จะไม่มีกระแสไฟไหลออกมาและไม่เป็นตราย แต่หากอารมณ์ใดยังไม่ถูกยอมรับ
และเมื่อมีใครมาแสดงอารมณ์/ความคิดนั้นต่อหน้าเรา
ก็เหมือนเขาเอาปลั๊กมาเสียบเต้ารับที่อกเรา มันจะดึงดูดกันและกัน
และมันจะดูดผลักชีวิตจากเราเพราะเราพยายามปฏิเสธมันว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ต่อเมื่อเรายอมรับคุณสมบัติหรืออารมณ์ที่เราไม่ปราถนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราเท่านั้น
พลังชีวิตเราจึงจะไม่ถูกดูดออกเพราะเรามีฝาปิดคอยป้องกันไม่ให้กระแสไฟไหลออกไปดูดคนหรือคุณสมบัตินั้นเข้ามา
อะไรหรือคุณสมบัติใดที่เราไม่ยอมรับและพยายามเก็บซ่อนมันไว้มันจะสะท้อนผ่านผู้คนหรือเหตุการณ์เพื่อกระตุ้นให้เราผนวกคุณสมบัตินั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา
ไม่เพียงเฉพาะคุณสมบัติที่ไม่พึงปราถนาเท่านั้นที่เราโยนให้คนอื่น
คุณสมบัติที่เราอยากมีเราก็โยนให้คนอื่นเช่นกัน "ถ้าคุณอยากเป็นเหมือนคนอื่น
นั่นเป็นเพราะคุณมีคุณสมบัติในตัวคุณที่เป็นเหมือนเขา"
"เวลาที่คุณไม่ได้ดำเนินชีวิตตามศักยภาพของตัวเอง
ก็เป็นการง่ายที่คุณจะโยนคุณสมบัติเชิงบวกไปยังคนที่ดำเนินชีวิตตามศักยภาพของตัวเอง
เมื่อคุณเริ่มทำความฝันและเป้าหมายของคุณให้กลายเป็นจริง คุณจะสนใจสิ่งที่คนอื่นทำน้อยลง
เราต้องเป็นฮีโร่ให้ตัวเอง ทางเดียวที่จะทำได้คือ
เรียกคืนคุณสมบัติที่เคยอาศัยคนอื่นเป็นผู้ขับเคลื่อน
คุณสมบัติที่เรายกให้คนอื่นไป"
"คุณจะไม่สามารถเห็นความยอดเยี่ยมในตัวคนอื่นได้ ถ้าคุณไม่มีคุณสมบัติใดๆ
อยู่ข้างใน จิตใจคุณก็จะไม่ถูกดึงดูดเข้าไปหาตั้งแต่แรก"
ประโยคโดนๆ จากหนังสือ
หลายคนหมดเวลาไปกับการไล่ตามแสงสว่าง
เพียงเพื่อจะพบความมืดมากขึ้น คาร์ล ยุง กล่าวไว้ว่า
"คนเราไม่ได้ตาสว่างด้วยการจิตนาการถึงแสงสว่าง
แต่ด้วยการตระหนักรู้ความมืด"
สิ่งที่คุณเรียกว่าข้อบกพร่องของคุณ
ทุกสิ่งที่คุณไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเอง คือสิ่งที่มีคุณค่า "เธอบอก"
มันเป็นแค่การขยายออกจนเกินพอดี เราขยายจนเกินพอดีไปหน่อยก็เท่านั้น แค่ลดๆ
ลงมาสักนิด ไม่นานคุณและคนอื่นจะเห็นจุดสมดุล
ฉันตระหนักว่าทุกขณะที่ฉันไม่เป็นสุข
ฉันมองหาสิ่งที่ผิดแทนที่จะเป็นสิ่งที่ถูก ฉันมองหาความกลัวและการตัดสินแทนที่จะเป็นความรักและการเปิดใจ
ฉันมองด้วยจิตที่คิดแต่จะลงโทษแทนที่จะเป็นหัวใจที่เมตตาอาทร
การยึดอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตดูจะง่ายกว่าเยียวยารักษามันในตอนนี้
แต่เปล่าหรอกมันไม่ได้ง่ายกว่าเลย
"เงามืด"
เป็นแหล่งความทุกข์ด้านของตัวเราที่เราพยายามปิดบังหรือปฏิเสธมัน
เป็นแง่มุมดำมืดที่เราเชื่อว่ายากจะยอมรับสำหรับครอบครัว เพื่อนฝูง
และโดยเฉพาะตัวเอง มันฝังตัวอยู่ในจิตส่วนลึก
โดยส่งข้อความอันเรียบง่ายมาถึงเราว่า ฉันมีสิ่งผิดปกติ ฉันยังไม่ดีพอ ฉันไร้ค่า
ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเวลาที่คุณหยุดเป็นปฏิปักษ์กับเงามืดของตัวเอง
คุณไม่ต้องแสร้งเป็นคนที่ไม่ใช่คุณอีกต่อไป คุณไม่ต้องพิสูจน์ว่าดีพออีกต่อไป
เมื่อคุณโอบรับเงามืดคุณจะไม่ต้องมีชีิวิตด้วยความกลัวอีก
สิ่งที่คุณอยู่ด้วยไม่ได้จะไม่ปล่อยให้คุณมีชีวิตตามปกติได้
คุณต้องเรียนรู้วิธียินยอมให้ทุกด้านที่คุณเป็นอยู่ในตัวคุณได้
ถ้าคุณอยากเป็นอิสระ คุณต้องเป็นได้หมด หมายความว่าเราต้องเลิกตัดสินตัวเอง
เราต้องให้อภัยตัวเองที่ยังเป็นคนไม่ดีคนหนึ่ง
ต้องให้อภัยตัวเองที่ยังเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ
เมื่อเราตัดสินตัวเองเราจะตัดสินคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
ขอขอบคุณ
salindongbayu