ชื่อหนังสือ
"ทำน้อยให้ได้มาก The Power of Less"
ผู้เขียน Leo Babautuผู้แปล วิกันดา พินทุวชิราภรณ์
สำนักพิมพ์ วีเลิร์น (We Learn)
"ไม่เคยมียุคใดที่เราสามารถทำสิ่งต่างๆ มากมายให้สำเร็จได้เร็วเท่าปัจจุบัน แต่ก็ไม่เคยมียุคใดเช่นกันที่เราต้องจัดการกับเรื่องที่ประดังประเดเข้ามามากมายอย่างนี้"
ภาระหน้าที่ๆ เหมือนจะไม่มีวันลดลง ทั้งเรื่องส่วนตัวและการงาน ต่างเรียกร้องเวลาจากเราให้ลงมือกระทำอะไรซักอย่างเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่เขาหรืองานนั้นๆ เรียกหา หน้าที่ๆ ต้องรับผิดชอบ หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ลูก ครอบครัว และจิปาถะที่วิ่งเข้าชนเราในแต่ละวัน คือรู้สึกว่า เออ...มันจะเยอะไปไหม ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการชีวิตอย่างนี้นะ แล้วจะมีวิธีการใดบ้างที่สามารถจะบรรเทาหรือกำจัดความวุ่นวายจากสิ่งที่เข้าหา หนังสือเล่มนี้คงจะมีคำตอบให้บ้างไม่มากก็น้อย
ภาระหน้าที่ๆ เหมือนจะไม่มีวันลดลง ทั้งเรื่องส่วนตัวและการงาน ต่างเรียกร้องเวลาจากเราให้ลงมือกระทำอะไรซักอย่างเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่เขาหรืองานนั้นๆ เรียกหา หน้าที่ๆ ต้องรับผิดชอบ หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ลูก ครอบครัว และจิปาถะที่วิ่งเข้าชนเราในแต่ละวัน คือรู้สึกว่า เออ...มันจะเยอะไปไหม ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการชีวิตอย่างนี้นะ แล้วจะมีวิธีการใดบ้างที่สามารถจะบรรเทาหรือกำจัดความวุ่นวายจากสิ่งที่เข้าหา หนังสือเล่มนี้คงจะมีคำตอบให้บ้างไม่มากก็น้อย
"ทำน้อยให้ได้มาก" เป็นหนังสือฮาวทูที่ปฏิบัติได้จริงๆ และง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วจะมีอะไรดีไปกว่า ทำง่าย ทำน้อย แต่ได้มากอีกเล่า วิธีการหนึ่งที่ข้าพเจ้าชอบมากจากหนังสือเล่มนี้คือ แบ่งซอยแล้วทำไปทีละอย่าง ในชีวิตเราไม่ใช่ว่าจะมีแต่การงานหรือกิจกรรมที่ง่ายดายเสมอไป งานที่ยากเย็นต้องทำใจเป็นนานกว่าจะลงมือได้และสุดท้ายก็จบลงที่ผัดวันประกันพรุ่ง หนังสือเล่มนี้แนะนำให้ตัด แบ่ง ซอย แล้วทำมันไปทีละอย่าง ไม่ต้องเร่งไม่ต้องรีบเพราะจะยิ่งช้า อะไรที่ใจเรายิ่งเร่งอยากให้มันลุลวง มันจะยิ่งมีแรงหนืด ติดนั่นติดนี่ และจบแบบไม่ปราณีต ลองเขียนสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้งานหินลุลวง แบ่งตัดเป็นกิจกรรมเล็กๆ แล้วทำมันไปทีละอย่างเรื่อยๆ มันจะประกอบขึ้นเป็นผลสำเร็จในไม่ช้า
แก่นของการทำน้อยให้ได้มากคือ 1.มองหาและจดจ่อสิ่งสำคัญ
2.และกำจัดส่วนที่เหลือ
ส่วนหลักการๆ การทำน้อยให้ได้มากคือ
1.สร้างข้อจำกัด ชีวิตที่ไร้ข้อจำกัดก็เหมือนการเทสีแดงถ้วยหนึ่งลงในมหาสมุทร แล้วมองดูมันจากหายไปในพริบตา ในขณะที่การจดจ่อภายใต้ข้อจำกัดเปรียบเสมือนการเทสีแดงถ้วยเดียวกันลงไปในถังน้ำสี่ลิตร
2.เลือกแต่สิ่งสำคัญ อะไรที่สร้างผลกระทบมากที่สุดในระยะยาว เราควรถามตัวเองอยู่เสมอว่าอะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับเรา
3.ทำให้เรียบง่าย คือการกำจัดสิ่งที่ไม่สำคัญ
4.จดจ่อ การทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันจะเพิ่มความซับซ้อนซึ่งส่งผลให้เราเคร่งเครียดและอาจทำผิดพลาดมากขึ้น
5.สร้างนิสัย เล่มนี้อาจช่วยได้
6.เริ่มจากสิ่งเล็กๆ
ตัวอย่างประโยคดีๆ จากหนังสือ
ในยุคเทคโนโลยีอย่างปัจจุบัน เราบริโภคข้อมูลเหมือนพยายามจิบน้ำจากสายดับเพลิง โดยไม่รู้เลยว่าจะลดความแรงของน้ำลงอย่างไรดี
การพยายามทำให้ได้มากๆ หมายความว่าเรามีแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่ไม่สำคัญเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ต้องทำงานหนักเกินจำเป็นและรู้สึกเครียดในเวลาเดียวกัน
เราควรใช้เวลาและพลังที่มีอยู่อย่างจำกัดไปกับสิ่งที่ส่งผลกระทบในระยะยาว นั่นถือเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด
ถ้าเราไม่จดจ่อ เราจะไม่มีทางบรรลุเป้าหมาย เว้นเสียแต่ว่ามันเป็นเป้าหมายที่ง่ายจนน่าจะเกิดขึ้นได้เองโดยแทบไม่ต้องทำอะไร
ทำงานที่สำคัญที่สุดเป็นอย่างแรกในตอนเช้า
ระบบเป้าหมายหนึ่งเดียว (One Goal System) คือการจดจ่อกับเป้าหมายไปทีละอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ
ถ้าเราไม่แบ่งเป้าหมายให้เป็นขั้นตอนย่อยๆ เราจะมีแต่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และเลื่อนลอย
จำนวนภาระหน้าที่ของเราไม่ได้ล้นทะลักขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุย แต่เป็นเพราะเราค่อยๆ อ้าแขนรับมันเข้าสู่ชีวิตต่างหาก
จริงๆ แล้วการทำชีวิตให้เรียบง่ายขึ้นก็คือการหาเวลาให้กับสิ่งที่เราอยากทำนั่นเอง
ผม (ผู้เขียน) ค้นพบว่าบ้านที่สะอาดเรียบง่ายและปราศจากความรกรุงรังนั้น สามารถสร้างความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงให้กับภาวะจิตใจ ความสุข และประสิทธิภาพในการทำงาน
ทุกวันนี้เราบริโภคข้อมูล สื่อ และอาหารด้วยอัตราเร็วที่น่าหวาดเสียว...ปัญหาคือเราไม่ได้ถูกสร้างมาให้ใช้ชีวิตในรูปแบบนี้ ร่างกายและจิตใจของเราเหมาะกับจังหวะชีวิตที่ช้ากว่าที่เป็นอยู่ เราสามารถรับมือกับความเครียดจากการถูกไล่ล่าเป็นบางครั้งได้ แต่เราไม่สามารถรับมือกับความเครียดที่ถาโถมเข้ามาอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเรารีบไปให้ถึงจุดหมายอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะไปถึงปลายทางอย่างมีความสุขได้อย่างไร ชีวิตคือการเดินทาง ดังนั้นจงเดินทางอย่างมีความสุข
ขอขอบคุณ
salindongbayu