วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

รีวิวหนังสือ "Quiet | พลังของคนเงียบในโลกที่ไม่เคยหยุดพูด"

บิสมิลละฮ์ ฮิรเราะห์มาน นิรรอฮีม


หนังสือ 

"Quiet|พลังของคนเงียบในโลกที่ไม่เคยหยุดพูด          

ผู้เขียน ซูซาน เคน
ผู้แปล นงนุช สิงหเดชะ
สำนักพิมพ์ มติชน

Introvert อินโทรเวิร์ต คือคนที่มีแนวโน้มครุ่นคิด หนอนหนังสือ ถ่อมตน อ่อนไหว จริงจัง พินิจพิเคราะห์ ถูกกำกับด้วยความรู้สึกภายใน อ่อนโยน สงบ มีความพอประมาณ แสวงหาความสันโดษ 
Extrovert เอ็กซ์โทรเวิร์ต คือคนที่มีแนวโน้มชอบแสดงออก กระตือรือร้นสูง เปิดเผย ช่างสังคม น่าตื่นเต้น ชอบครอบงำ ยืนหยัด กระฉับกระเฉง ถูกกำกับด้วยสิ่งที่อยู่ภายนอก ร่าเริง กล้าหาญ และมีความสบายใจที่ได้รับความสนใจจากผู้คน


การดำเนินชีวิตในโลกที่คนพูดเก่งเข้าสังคมเป็นถูกให้ค่าอย่างสูง มันชั่งเป็นสถานการณ์และสถานที่ๆ บีบคั้นคนอินโทรเวิร์ตเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่ต้องพบปะสมาคมกับคนกลุ่มใหญ่เรารู้สึกเหมือนพลังงานในร่างกายสำหรับวันนั้นถูกดูดผลาญเกือบหมด การกลับบ้านหรือหาที่เงียบๆ (ซอกมุมเพื่อฟื้นฟูตัวเองสู่สภาพเดิม) นั่งรอให้พลังงานของเรากลับคืนมาคือสิ่งที่จะต้องทำเพื่อจะดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ต่อไปได้ ฟังดูอาจจะเกินเลยแต่คนอินโทรเวิร์ตคงเข้าใจดีว่าสถานการณ์อย่างนี้คือกิจวัตรที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวี่วัน


สังคมปัจจุบันถูกออกแบบให้รองรับการใช้ชีวิตของคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตเสียส่วนใหญ่ สถาบันหลักในสังคมเช่น โรงเรียนหรือมหาลัยต่างก็เป็นเบ้าหลอมผลิตคนออกมาเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานแทบทั้งสิ้น ขณะที่คนอินโทรเวิร์ตต้องการคำชี้แนะที่แตกต่างจากคนเอ็กซ์โทรเวิร์ต จึงเป็นเรื่องเดือดร้อนแก่คนอินโทรเวิร์ตที่จะต้องหาที่ทางให้ตัวเอง หรือไม่ก็ปรับบุคลิกภาพให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนเอ็กโทรเวิร์ตในสังคมเอ็กซโทรเวิร์ตให้ได้ แต่นั่นคือปัญหาอีกอย่างเพราะการปรับหรือการเปลี่ยนล้วนใช้พลังงานอย่างมากอยู่ดี  


ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมโรงเรียนหรือพี่ชายจึงพยายามสอนสั่งแกมยัดเยียดให้ต้องเป็นคนที่พูดและสมาคมเก่ง โรงเรียนพยายามบอกว่าและยกยอคนพูดเก่งเป็นอย่างมาก ทั้งที่เวลาฟังเขาพูดก็ไม่มีอะไรในกอไผ่เลย ได้แต่จับนั่นมาผสมนี่และขยายความ (เรารู้ว่าเขาทำอย่างนั้นแต่เราก็ทำอย่างเขาไม่เป็น) พี่ชายพยายามยัดเยียดว่า เราต้องรู้จักสมาคมกับคนในหมู่บ้านเพื่อมีจะมีชีวิตที่ดี (ไม่เคยปฏิเสธว่าดี แต่ก็ไม่อยากฝืนทำ) และเมื่อทำไม่ได้เฉกเช่นเขาเหล่านั้นกลับกลายเป็นว่าเรามีความผิดที่พฤติตัวไม่ได้ตามมาตราฐานของสังคม 


เห็นหัวข้อหนังสือเล่มนี้ คือมันปังมาก มันเป็นคำถามตั้งแต่เยาว์วัยว่า แล้วจะเอายังไงดี คือคุณทั้งหลายเอามาตราฐานของตัวเองที่คิดว่าดีมายัดเยียดให้คนอื่น โดยลืมคิดไปว่าสิ่งเหล่านั้นมันเหมาะกับเขาหรือไม่ คนที่พูดเก่ง กระฉับกระเฉง เข้ากับคนอื่นได้ดีได้รับการยกย่อง ได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่น ได้รับการยอมรับจากผู้คน แล้วมันใช่เหรอ? คนที่ไม่ได้มาตราฐานอย่างคนที่ไม่ชอบแสดงออก เขาหรือเธอเหมือนจะไม่มีตัวตนหรือพื้นที่ในสังคมโรงเรียนหรือในสังคมข้างนอก มันเป็นความโน้มเอียงที่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย คนที่เกิดมาพร้อมด้วยบุคลิกชอบแสดงออก เขาเหล่านั้นไม่ต้องผืนหรือฝึกอะไรมากมาย ไม่ต้องใช้ความพยายามเพราะมันคือตัวเขา เพียงแต่ทำตัวเป็นธรรมชาติแล้วได้รับสิ่งดีๆ แต่คนอินโทรเวิร์ตที่ทั้งพยายาม ทั้งผืนตัวเองให้ใกล้เคียงคนเอ็กซโทรเวิร์ตกลับถูกเมินในสังคมเอ็กซโทรเวิร์ตกระนั้นเหรอ


ในหนังสือเราจะได้รับรู้ถึงความเป็นมาของสังคมที่ยกให้เอ็กซโทรเวิรต์คืออุดมคติ หนังสือยังบอกกล่าวข้อมูลให้คนอินโทรเวิร์ตรู้จักตัวเองมากขึ้น ขณะเดียวกันก็บอกกล่าวแก่คนเอ็กซ์โทรเวิร์ตถึงความต่างของเพื่อนอินโทรเวิร์ตที่ดำรงอยู่ในสังคม หนังสือยังยกตัวอย่างบุคคลอินโทรเวิร์ตที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในสังคมโดยที่ยังคงดำรงไว้คุณลักษณะอินโทรเวิร์ต จากหลักฐานการวิจัยของผู้เขียนระบุว่า พื้นที่แถบเอเชียมีวัฒนธรรมแบบอินโทรเวิร์ตมากกว่าเมื่อเทียบกับทวีปอื่น ดังนั้นแนวโน้มที่คนเอเชียจะเป็นคนอินโทรเวิร์ตจึงมีมากกว่าที่อื่น แต่เอาเข้าจริงคนๆ หนึ่งอาจจะมีบุคลิกที่ผสมกันระหว่างเอ็กโทรเวิร์ตและอินโทรเวิร์ตซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เขาหรือเธอกำลังเผชิญ 

ประโยคดีๆ จากหนังสือ
ถ้าคุณเป็นคนอินโทรเวิร์ต คุณรู้ว่าอคติที่มีต่อความเงียบสามารถก่อให้เกิดความเจ็บปวดทางจิตวิญญานอย่างลึกซึ้ง

คนบางคนไม่ชอบทั้งการเป็นผู้นำและถูกนำ

นักเรียนในโลกปัจจุบันกำลังอาศัยอยู่ในโลกที่ฐานะ รายได้ และความภาคภูมิใจในตนเองขึ้นอยู่กับความสามารถในการสนองความต้องการของวัฒนธรรมบุคลิกภาพ (การแสดงออก/ตัวตน) มากกว่าครั้งไหนๆ 

คนอินโทรเวิร์ตชอบที่จะทำงานอย่างอิสระมากกว่า และบ่อยครั้งความสันโดษมีความจำเป็นต่อความคิดสร้างสรรค์และผลผลิต

นักจิตวิทยามักจะให้คำอธิบาย 3 ประการสำหรับความล้มเหลวในการระดมสมองเป็นกลุ่ม 1.การอยู่เป็นกลุ่มทำให้เกิดความขี้เกียจ การอยู่เป็นกลุ่มจะทำให้บางคนถอยออกไปและปล่อยให้คนอื่นทำงาน 2. การขัดขวางการผลิต จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถพูดหรือสร้างไอเดียได้ทันที ขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ถูกบังคับให้นั่งฟังอยู่เฉยๆ 3. ความเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินผล คือ ความกลัวที่ว่าตัวเองจะดูโง่ต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน

ผลการศึกษาของเคเกนระบุว่า เด็กอินโทรเวิร์ตมีลักษณะเหมือนดอกกล้วยไม้ นั่นคือพวกเขาเหี่ยวเฉาง่าย แต่ถ้าหากอยู่ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม พวกเขาสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและงดงาม

ความอ่อนไหวและความแข็งแกร่งทางอารมณ์ของเด็กอินโทรเวิร์ตนั้นมาคู่กันเป็นแพ็กเกจ

แท้จริงความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนอินโทรเวิร์ตอาจเป็นการได้ใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของเขาอย่างเต็มที่

แนวทางการค้นหาโครงการส่วนตัว (งาน/ความหลงใหล)
1.คิดย้อนกลับไปหาสิ่งที่คุณรักที่จะทำเมื่อตอนเป็นเด็ก แรงจูงใจจะอยู่ที่นั่นเสมอ 2. ให้ความสนใจกับงานที่คุณถูกดึงดูดเข้าหา 3. ให้ความสนใจกับสิ่งที่คุณอิจฉา ส่วนใหญ่แล้วเราจะอิจฉาคนที่มีในสิ่งที่เราปราถนา

ผลการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า 1 ใน 3 หรือหนึ่งในสามของคนเราเป็นพวกอินโทรเวิร์ต

เมื่ออ่านหนังสือจบข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าควรจะรีวิวหนังสือเล่มนี้ดีหรือไม่ เพราะมันน่าจะเป็นงานวิจัยก่อนมาเป็นงานเขียน หลักฐานสนับสนุนความคิดหรือสมมุติฐานของผู้เขียนเยอะมาก จนรู้สึกว่าเป็นหนังสือที่เคี้ยวยาก แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้คนเอ็กซ์โทรเวิร์ตได้เรียนรู้และคนอินโทรเวิรต์อื่นๆ ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสลองอ่านดู มีข้อมูลใหม่ๆ เยอะมากๆ ที่เราสามารถเอามาปรับใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้ดี สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าสนใจเป็นพิเศษจากหนังสือเล่มนี้คือ ทฤษฏี "ลักษณะเฉพาะที่เสรี" ของ อาจารย์ไบรอัน ลิตเติ้ล มันคือทฤษฏีที่บอกว่าคนอินโทรเวิรต์สามารถที่จะแสดง (หรือแสร้งทำ) คุณลักษณะเอ็กซ์โทรเวิร์ตเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ให้คุณค่าสำหรับตัวเอง การแสร้ง/การแสดง เป็นอะไรที่หนักหน่วงสำหรับคนอินโทรเวิร์ตอย่างมาก เราเป็นคนจำพวกที่ซื่อสัตย์ต่อตนเองเป็นอย่างสูง การแสร้งหรือแสดงคือการโกหกตัวเองที่สามารถทำลายอัตลักษณ์ที่เรายึดถือและยืนหยัดมาตลอด การเรียนรู้ที่จะเป็นคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราอยากทำ แต่เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ให้คุณค่าบางทีเราอาจจะยินยอมที่จะแสร้งทำเป็นคนเอ็กซ์โทรเวิรต์ในบางเวลาและโอกาส จากนั้นเราก็กลับไปจมอยู่กับกองหนังสือต่อไป "พวกเราแต่ละคนจะประพฤติตัวไม่ตรงตามอุปนิสัยในบางเวลา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการเป็นตัวตนของเราในช่วงเวลาที่เหลือ" อย่างที่ทฤษฏีได้กล่าวไว้ 

สุดท้ายแล้วการเป็นคนเอ็กโทรเวิร์ตหรืออินโทรเวิร์ตไม่มีใครดีไปกว่าใคร เพราะทั้งสองคุณลักษณะต้องคอยเกื้อหนุนกันอยู่ตลอดเวลา เช่นกลางวันกับกลางคืน น้ำกับไฟ แต่ที่มันผิดเพี้ยนคือการให้ค่าแก่คุณลักษณะเอ็กโทรเวิรต์มากเกินไปและกดทับอินโทรเวิรต์จนไม่เห็นค่าหรือคิดว่าการเป็นคนอินโทรเวิร์ตคือโรคอย่างหนึ่งที่ต้องรักษา ข้าพเจ้ามองว่าสิ่งนั้นคือการเห็นแก่ตัว เพียงเรามองเห็นความต่างของทั้งสองคุณลักษณะและปล่อยให้ทั้งสองดำรงต่อไปตามวิถีทางของตัวเองนั่นคือจุดสมดุลที่เราควรตระหนักมิใช่หรือ

"พวกเราทั้งหมดเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความซับซ้อนอย่างสวยงาม" 

ขอขอบคุณ
salindongbayu