วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือ "ด้านมืดของผู้ตามหาแสงสว่าง | The Dark Side of the Light Chasers"

บิสมิลละฮ์ ฮิรเราะห์มาน นิรรอฮีม


"ด้านมืดของผู้ตามหาแสงสว่าง | The Dark Side of the Light Chasers          

ผู้เขียน Debbie Ford
ผู้แปล ภัทริณี เจริญจินดา
สำนักพิมพ์ โอ้มายก้อด



บทสรุปรวบยอดของหนังสือเล่มนี้คือการยอมรับตัวเองทั้งในด้านดีและด้านที่ไม่ดี เพื่อการมีชีวิตที่เต็มอิ่มอย่างคลี่คลายและปลอดโปร่ง เราไม่สามารถที่จะมีชีวิตที่ผ่อนคลายและเต็มอิ่มได้หากเรายังไม่สามารถยอมรับด้านแย่ๆ ในตัวเราอย่างเต็มใจยิ่ง ยอมรับว่ามันอยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายหรือพยายามเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องพยายามเป็นอย่างอื่นเพื่อที่เราจะไม่ต้องเป็นเราในด้านแย่ๆ หรือด้านที่เราไม่อาจยอมรับได้ การทำเช่นนั้นต้องใช้ความพยายามมากมาย การยอมรับด้านดีของตนอาจเป็นเรื่องง่ายกว่า และการยอมรับว่าเป็นคนขี้บ่น เอาเปรียบ หรือ ชอบโอ้อวด แค่คิดจะยอมรับก็ยากแล้ว เช่นนั้นการยอมรับด้านแย่ๆ จึงควรมาพร้อมกับการเฟ้นหาประโยชน์ที่มีจากด้านที่ไม่ดีเหล่านั้น เช่น หากต้องรับมือกับการหยิบยืมเงินจากเพื่อนๆ หรือญาติๆ ตลอดเวลาโดยขาดความเกรงใจ การเป็นคนขี้บ่นบ้างในกรณีนี้จะทำให้พวกเขาเกรงใจเราขึ้นมาบ้างหรือไม่ 


หนังสือเปรียบตัวตนของเราเป็นดังปราสาทที่มีห้องหับมากมาย อาจมีห้องอันวิจิตตระการตา ห้องที่สะอาด ห้องที่เข้าไปแล้วผ่อนคลาย รวมถึงอาจมีห้องที่มืดๆ ห้องที่สกปรก และห้องที่รกรุงรังน่าเกลียด แต่ทั้งหมดนั้นเมื่อรวมกันมันคือปราสาทหลังใหญ่ มีความหลากหลาย มีความคละเคล้าและหลอมรวม เมื่อเรายอมรับได้ว่าประสาทแห่งนี้มีทั้งห้องที่น่าอยู่และห้องที่น่าเกลียด (บางครั้งเราอาจจะอยากเข้าไปดูห้องหน้าเกลียดนั้นว่าหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างก็ได้) ประสาทแห่งนี้จึงจะดูมีชีวิตชีวาขึ้น ตัวเราก็เช่นนั้นมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี เพียงแต่ยอมรับมันไว้ เราอาจเผยด้านดีออกมาและเก็บด้านไม่ดีไว้ใช้ประโยชน์ในยามจำเป็น เมื่อยอมรับได้เช่นนี้เราจึงไม่ต้องเสียพลังงานเพื่อกลบและปกปิด และไม่ต้องเสียพลังงานเพื่อที่จะต้องไม่เป็นเรา ชีวิตจึงจะผ่อนคลายและเต็มอิ่มยิ่งขึ้น เพราะเราแผ่จนเต็มแล้ว

# เงามืดในตัวเรา
เงามืดคือแหล่งซ่อนตัวคุณสมบัติที่เราเกลียดเกี่ยวกับตัวเอง เราซ่อนคุณสมบัติมืดๆ ไว้ในเงามืดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นมัน เพราะเรายอมรับมันไม่ได้ แต่การจะมีชีวิตปกติสุขจากภายในอย่างสมบูรณ์ เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยอมรับให้ได้ว่าเรามีคุณสมบัติมืดๆ นั้น คุณสมบัติที่เราไม่อยากมองและไม่อยากเห็น มันมีอยู่ในตัวเราตลอดเวลา เราคิดว่าคนอื่นไม่ยอมรับ เราจึงไม่อาจยอมรับมันได้ เราไม่เคยใส่ใจมันเลย เพราะมันสร้างความทุกข์ให้เรา หากเราจะอ่อนโยนต่อตนเองบ้างด้วยการโอบรับคุณสมบัติที่เราไม่ปรีดาให้มันอยู่ แค่ยอมรับว่ามันมีอยู่ ถึงมันจะไม่ดีอย่างไรก็แค่ยอมรับว่ามันมี เราไม่จำเป็นต้องใช้มันหรือเราอาจอยากใช้มันบ้างในบางครั้ง 

# ตัวตนที่ถูกทอดทิ้ง 
เรามักจะโยนสิ่งที่อยู่ในตัวเรา (ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ นิสัย และคุณสมบัติ) ไปใส่ตัวคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราไม่ยอมรับคุณสมบัติใดก็ตามที่อยู่ในตัวเรา เราจะโยนคุณสมบัตินั้นไปที่คนอื่น ผู้เขียนเปรียบอารมณ์ของเราเป็นเต้าเสียบหลายๆ อันอยู่บนหน้าอกเรา เต้าเสียบหนึ่งอันแทนอารมณ์หรือความคิด ฯลฯ อย่างนึง อารมณ์ใดที่เรายอมรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราจะมีฝาปิดไว้ ซึ่งก็จะไม่มีกระแสไฟไหลออกมาและไม่เป็นตราย แต่หากอารมณ์ใดยังไม่ถูกยอมรับ และเมื่อมีใครมาแสดงอารมณ์/ความคิดนั้นต่อหน้าเรา ก็เหมือนเขาเอาปลั๊กมาเสียบเต้ารับที่อกเรา มันจะดึงดูดกันและกัน และมันจะดูดผลักชีวิตจากเราเพราะเราพยายามปฏิเสธมันว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ต่อเมื่อเรายอมรับคุณสมบัติหรืออารมณ์ที่เราไม่ปราถนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราเท่านั้น พลังชีวิตเราจึงจะไม่ถูกดูดออกเพราะเรามีฝาปิดคอยป้องกันไม่ให้กระแสไฟไหลออกไปดูดคนหรือคุณสมบัตินั้นเข้ามา อะไรหรือคุณสมบัติใดที่เราไม่ยอมรับและพยายามเก็บซ่อนมันไว้มันจะสะท้อนผ่านผู้คนหรือเหตุการณ์เพื่อกระตุ้นให้เราผนวกคุณสมบัตินั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา 

ไม่เพียงเฉพาะคุณสมบัติที่ไม่พึงปราถนาเท่านั้นที่เราโยนให้คนอื่น คุณสมบัติที่เราอยากมีเราก็โยนให้คนอื่นเช่นกัน "ถ้าคุณอยากเป็นเหมือนคนอื่น นั่นเป็นเพราะคุณมีคุณสมบัติในตัวคุณที่เป็นเหมือนเขา" "เวลาที่คุณไม่ได้ดำเนินชีวิตตามศักยภาพของตัวเอง ก็เป็นการง่ายที่คุณจะโยนคุณสมบัติเชิงบวกไปยังคนที่ดำเนินชีวิตตามศักยภาพของตัวเอง เมื่อคุณเริ่มทำความฝันและเป้าหมายของคุณให้กลายเป็นจริง คุณจะสนใจสิ่งที่คนอื่นทำน้อยลง เราต้องเป็นฮีโร่ให้ตัวเอง ทางเดียวที่จะทำได้คือ เรียกคืนคุณสมบัติที่เคยอาศัยคนอื่นเป็นผู้ขับเคลื่อน คุณสมบัติที่เรายกให้คนอื่นไป" "คุณจะไม่สามารถเห็นความยอดเยี่ยมในตัวคนอื่นได้ ถ้าคุณไม่มีคุณสมบัติใดๆ อยู่ข้างใน จิตใจคุณก็จะไม่ถูกดึงดูดเข้าไปหาตั้งแต่แรก" 

ประโยคโดนๆ จากหนังสือ
หลายคนหมดเวลาไปกับการไล่ตามแสงสว่าง เพียงเพื่อจะพบความมืดมากขึ้น คาร์ล ยุง กล่าวไว้ว่า "คนเราไม่ได้ตาสว่างด้วยการจิตนาการถึงแสงสว่าง แต่ด้วยการตระหนักรู้ความมืด" 

สิ่งที่คุณเรียกว่าข้อบกพร่องของคุณ ทุกสิ่งที่คุณไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเอง คือสิ่งที่มีคุณค่า "เธอบอก" มันเป็นแค่การขยายออกจนเกินพอดี เราขยายจนเกินพอดีไปหน่อยก็เท่านั้น แค่ลดๆ ลงมาสักนิด ไม่นานคุณและคนอื่นจะเห็นจุดสมดุล

ฉันตระหนักว่าทุกขณะที่ฉันไม่เป็นสุข ฉันมองหาสิ่งที่ผิดแทนที่จะเป็นสิ่งที่ถูก ฉันมองหาความกลัวและการตัดสินแทนที่จะเป็นความรักและการเปิดใจ ฉันมองด้วยจิตที่คิดแต่จะลงโทษแทนที่จะเป็นหัวใจที่เมตตาอาทร

การยึดอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตดูจะง่ายกว่าเยียวยารักษามันในตอนนี้ แต่เปล่าหรอกมันไม่ได้ง่ายกว่าเลย

"เงามืด" เป็นแหล่งความทุกข์ด้านของตัวเราที่เราพยายามปิดบังหรือปฏิเสธมัน เป็นแง่มุมดำมืดที่เราเชื่อว่ายากจะยอมรับสำหรับครอบครัว เพื่อนฝูง และโดยเฉพาะตัวเอง มันฝังตัวอยู่ในจิตส่วนลึก โดยส่งข้อความอันเรียบง่ายมาถึงเราว่า ฉันมีสิ่งผิดปกติ ฉันยังไม่ดีพอ ฉันไร้ค่า

ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเวลาที่คุณหยุดเป็นปฏิปักษ์กับเงามืดของตัวเอง คุณไม่ต้องแสร้งเป็นคนที่ไม่ใช่คุณอีกต่อไป คุณไม่ต้องพิสูจน์ว่าดีพออีกต่อไป เมื่อคุณโอบรับเงามืดคุณจะไม่ต้องมีชีิวิตด้วยความกลัวอีก

สิ่งที่คุณอยู่ด้วยไม่ได้จะไม่ปล่อยให้คุณมีชีวิตตามปกติได้ คุณต้องเรียนรู้วิธียินยอมให้ทุกด้านที่คุณเป็นอยู่ในตัวคุณได้ ถ้าคุณอยากเป็นอิสระ คุณต้องเป็นได้หมด หมายความว่าเราต้องเลิกตัดสินตัวเอง เราต้องให้อภัยตัวเองที่ยังเป็นคนไม่ดีคนหนึ่ง ต้องให้อภัยตัวเองที่ยังเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ เมื่อเราตัดสินตัวเองเราจะตัดสินคนอื่นโดยไม่รู้ตัว

ขอขอบคุณ
salindongbayu