"The Power of Now | พลังแห่งจิตปัจจุบัน"
ผู้เขียน Eckhart Tolleผู้แปล พรรณี ชูจิรวงศ์
สำนักพิมพ์ โอ้มายก้อด
อันที่จริงเนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้สามารถสรุปได้สั้นๆ คือ การเป็นอิสระจากความทุกข์ด้วยการเป็นอิสระจากความคิดผ่านการตระหนักรู้อยู่กับปัจจุบัน แต่กระนั้นเนื้อหาปลีกย่อยที่เคียงคู่เนื้อหาหลักที่ผู้เขียนนำเสนอก็มิได้สำคัญน้อยกว่ากันเลย เนื้อหาย่อยส่วนใหญ่เป็นข้อคิด ข้อเท็จจริง (ทรงคุณค่า) ที่บางครั้งเราก็ไม่เคยตระหนักมาก่อนว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงจนกว่าจะมีใครมาสะกิดให้เราลองพิจารณา
หนังสือเล่มนี้แปลมาแล้ว 33 ภาษา บ่งบอกได้ดีว่าควรจะต้องมีอะไรพิเศษสำหรับหนังสือเล่มนี้ และเป็นหนังสืออีกเล่มที่น่าอ่านจริงๆ อ่านง่ายแต่ลึกซึ้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้การรีวิวเป็นอะไรที่ยากไม่น้อย ผู้เขียนไม่ได้เขียนให้อ่านยาก และผู้แปลก็แปลได้ดีมาก สำหรับผู้ที่ชื่นชอบหนังสือประเภทนี้หรือกำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่คิดว่ายังหาไม่เจอซักที สามารถอ่านไปได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ แต่ด้วยธรรมชาติของเนื้อหาที่หนังสือนำเสนอ บางครั้งรู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้มีความสนใจทางด้านนี้หรือสัมผัสประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนอ่านแล้วจะเข้าถึงไหมนะ เป็นการอ่านที่ควรใช้ประสาทสัมผัสมากกว่าสมองคิดจึงจะเข้าถึงแก่นแท้ที่ผู้เขียนต้องการจะส่งต่อ การรีวิวหนังสือเล่มนี้คงเป็นได้แค่การลอกตัวบทหนังสือมาไว้ในหน้าบล็อคนี้ เพราะตัวอักษรที่ผู้เขียนบรรจงร้อยเรียงและเนื้อหาที่ผู้แปลบรรจงถอดความมันงดงามและไม่ต้องการการรีวิวใดๆ อีกแล้ว ข้าพเจ้าเพียงแค่บอกต่อให้ผู้ที่ผ่านมาอ่านแค่นั้นเอง
ตั้งแต่ได้ดูเรื่องแฮร์รี่พ็อตเตอร์ ฉากที่ศาสตราจารย์ดับเบิลดอร์ใช้ไม้กายสิทธิ์ดึงเอาเส้นความคิดของตัวเองใส่ลงไปในขวดโหลปากว้าง ข้าพเจ้าก็จินตนาการเรื่อยมาว่าเราจะสามารถทำอย่างนั้นบ้างได้ไหมนะ ความหนักอึ้ง ความอึมครึม การไม่ได้พักผ่อนของสมองทั้งยามหลับและยามตื่นคงจะเบาบางลงไม่น้อย และเราก็คงจะมีความสุขมากขึ้นจริงๆ ถ้าไม่ต้องคิดในหลายๆ เรื่องที่เราก็ไม่อยากจะคิดหรือแม้แต่นึกถึงมันแต่ทำไม่ได้ ผืนไม่ไป ชีวิตเราจะผ่อนคลายขึ้นมากอีกเท่าไหร่ถ้าไม่ต้องคิดอยู่ตลอดเวลา "การไม่สามารถหยุดความคิดได้ถือเป็นความทุกข์แสนสาหัส แต่ไม่มีใครคิดว่านี่เป็นปัญหา เพราะแทบทุกคนทุกข์กับมันเสียจนมองว่าเป็นเรื่องปกติ" "ความคิดเป็นเครื่องมือที่วิเศษถ้าใช้มันอย่างถูกต้อง แต่ถ้าใช้ผิดมันจะกลายเป็นตัวทำลายล้าง พูดให้ชัดกว่านี้คือ ไม่บ่อยนักที่คุณจะใช้ความคิดผิดวิธี แต่ปกติคุณไม่ได้ใช้มันเลย มันต่างหากที่ใช้คุณ นี่ถือเป็นโรคอย่างหนึ่ง คุณเชื่อว่าคุณคือความคิด (mind) นี่เป็นความเชื่อผิดๆ ที่คุณปล่อยให้ความคิดเข้าครอบงำ"
"คุณอาจเคยเห็นคน บ้า พูดพึมพำกลางถนนคนเดียว ที่จริงนั่นไม่ได้ต่างจากที่คุณหรือคน ปกติ ทั่วไปทำเลย เว้นแต่พวกคุณทำในใจเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงแสดงความคิดเห็น คาดเดา ตัดสิน เปรียบเทียบ บ่น ชอบ ไม่ชอบ ฯลฯ และเสียงที่ว่าก็ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ที่คุณเจอะเจอในขณะนั้น อาจเป็นเสียงที่หวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ทั้งที่เพิ่งผ่านมาหรือล่วงเลยมานานแล้ว หรือเสียงซ้อมพูด หรือจินตนาการสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่มักคิดแต่เรื่องลบ หรือเรื่องที่อาจผิดพลาดที่เรียกว่า วิตกจริต บางทีเสียงนี้ยังมาพร้อมภาพหรือที่เรียกว่า หนังในใจ และถึงแม้เสียงนั้นจะชวนคุยเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะนั้นแต่มันตีความในแง่ของอดีต นั่นเพราะมันเป็นเสียงจากจิตที่ถูกวางเงื่อนไขอันเป็นผลพวกจากอดีตและกรอบคิดทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาถึงคุณ ดังนั้น คุณจึงมองและตัดสินปัจจุบันผ่านดวงตาของอดีต ทำให้ได้ภาพที่บิดเบือน จึงไม่แปลกที่เสียงในใจจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของบุคคลนั้นเอง หลายคนมีชีวิตอยู่กับตัวทุกข์ในหัวที่คอยโจมตีอย่างต่อเนื่อง คอยลงโทษพวกเขา คอยดูดพลังจากพวกเขาจนหมดสิ้น นี่เป็นต้นเหตุของเรื่องเศร้าไร้สุขสารพัด รวมถึงอาการเจ็บป่วยด้วย"
"ความทุกข์ส่วนใหญ่ของมนุษย์ล้วนไม่จำเป็น มันเกิดขึ้นเองตราบใดที่คุณยังปล่อยให้ความคิดบงการชีวิตโดยไม่รู้ตัว" ความทุกข์มักจะอยู่ในมิติของเวลาที่เราคุ้นเคย ทั้งอดีตและอนาคตซึ่งมันไม่จำเป็นและไม่ควรเป็นอย่างนั้น เราเจ็บปวดอยู่กับอดีตและเราก็กังวลอยู่กับอนาคตเราไม่มีที่ทางให้ปัจจุบันที่เราอยู่ "สาเหตุที่บางคนชอบกิจกรรมอันตรายผาดโผน อย่างปีนเขา แข่งรถ ฯลฯ คือ มันบีบให้พวกเขาอยู่กับปัจจุบัน ภาวะที่รู้ตัวทั่วพร้อม เป็นอิสระจากสำนึกเรื่องเวลา จากปัญหา จากความนึกคิด เพราะหากหลุดจากปัจจุบันแม้เพียงเสี้ยววินาทีนั่นหมายถึงความตาย"
ต่อเมื่อเรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน เราจะพบว่าชีวิตมันง่ายดายเสมอ "ทันทีที่คุณให้ความสำคัญกับปัจจุบันขณะ ความทุกข์และการดิ้นรนทั้งหลายพลันสลายหายไป ชีวิตเริ่มลื่นไหลด้วยความเบิกบานและสะดวกสบาย เวลาทำสิ่งใดด้วยจิตจดจ่อกับปัจจุบัน สิ่งนั้นจะซึมซาบด้วยความรัก ความใส่ใจ และมีคุณภาพ แม้แต่เรื่องที่สุดแสนธรรมดา"
ซึ่งอันที่จริงการกลับมาอยู่กับปัจจุบันหรือการตระหนักรู้ตัวเพื่อให้จิตใจสงบนั้นมันไม่ง่าย และในบางกรณีมันเป็นไปไม่ได้เลยในขณะนั้น การยอมรับและให้อภัยจึงควรเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสงบนี้ "ยกโทษให้ตัวเองที่สงบไม่ได้ จังหวะที่คุณยอมรับโดยสิ้นเชิงว่าในตัวคุณรู้สึกไม่สงบ ความไม่สงบจะถูกแปรเป็นควาสงบ สิ่งใดก็ตามที่คุณยอมรับมันอย่างเต็มที่ จะพาคุณไปถึงที่นั่น พาคุณไปหาความสงบ"
ข้อเท็จจริงจากหนังสือ
อันที่จริงข้อเท็จจริง (fact) ในหนังสือมีเยอะแยะไปหมดข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างมาเพียงหนึ่งนั่นคือ การที่คนเราจะพบแสงแห่งปัญญาเพื่อเข้าถึงการตื่นรู้นั้นอาจจะผ่านจาก 2 ช่องทางดังนี้
1. ผ่านความทุกข์ หมายถึงคุณถูกบังคับให้เข้าสู่การตื่นรู้อย่างไม่เต็มใจ สุดท้ายคุณต้องยอมจำนน (และค้นหา) เพราะทนรับความทุกข์ไม่ไหวอีกแล้ว แต่ความทุกข์ก็ยังอยู่ตรงนั้นจวบจนปัญญาจะเกิดขึ้น
2. ผ่านการเลือก คุณเลือกที่จะเข้าสู่การรู้ตัวเพื่อเป็นอิสระจากความทุกข์แห่งความนึกคิด คุณเลือกที่จะไม่ติดอยู่ในความทุกข์ของมิติเวลาอดีตและอนาคต แต่คุณเลือกที่จะรู้ตัวทั่วพร้อมกับปัจจุบัน
ใต้ต้นก้ามปูต้นใหญ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วบริเวณ พื้นดินขาวเหลืองนวลแลดูสะอาดตา แสงยามบ่ายลอดระหว่างใบเห็นเป็นลำสาดกระทบพื้นดินปรากฏเป็นช่องแสงสลับเงาของใบและกิ่งก้าน เสียงลูกกำลังเล่นอยู่ไม่ไกล โต๊ะเล็กๆ ตั้งไว้ตรงโคนต้น การนั่งอ่านหนังสือดีๆซักเล่มพร้อมจิบชาดีๆซักแก้ว นั่นคือจินตนาการอันใหญ่โตที่ข้าพเจ้าอยากมีจริงๆ หนังสือพลังแห่งจิตปัจจุบันคือเล่มที่อยากจะเอาไปใส่ไว้ในภาพจินตนาการนั้น เป็นหนังสือที่ชวนละเลียดอ่านทุกตัวอักษร
ขอขอบคุณ
salindongbayu