ชื่อหนังสือ
"The Celestine Prophecy คัมภีร์ฟ้าทำนาย"
ผู้เขียน James Redfieldผู้แปล อัฐพงศ์ เพลินพฤกษา
สำนักพิมพ์ โอ้มายก้อด (OMG Books)
หนังสือนิยายเล่มนี้จะทำให้เรามองเห็นภาพวัฒนธรรมตะวันตกโดยรวมอย่างคร่าวๆ การดำเนินมาจากอดีตที่ยึดถือศาสนจักรในทุกรายละเอียด ต่อมาได้ส่งไม้ให้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และถัดไปคือสิ่งที่ผู้แต่ง (คงหวัง) อยากจะให้เกิดขึ้นในอนาคต อ่านไปเรื่อยๆ เหมือนจะสัมผัสถึงข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่จริงจากเนื้อเรื่อง ผู้แต่งเพียงนำมันมาเรียงร้อยให้เป็นนิยาย อาจเนื่องด้วยเคยอ่านหนังสือประเภทนี้มาไม่น้อยจึงพอจะมีพื้นหลังอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่เคยผ่านตางานเขียนประเภทนี้มาก่อนคงต้องบอกว่าข้อเท็จจริงที่กล่าวถึงมันน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย สำหรับผมแล้วนิยายเล่มนี้ถือเป็นงานเขียนที่ห้อมล้อมด้วยตรรกและคำอธิบายที่หนักพอสมควร เพราะเนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นบทสนทนาอันยืดยาว หรือไม่ก็เป็นฉากที่ตัวละครกำลังอธิบายอะไรบางอย่างที่ยาวไม่แพ้กัน
หนังสือเล่าถึงการค้นหาญานทัศน์ทั้งเก้าในคัมภีร์โบราณที่ถูกค้นพบในประเทศเปรู ญานทัศน์เล่าถึง 1.วิถีทางชีวิตที่พัฒนาผ่านเรื่องบังเอิญที่จริงๆ อาจจะไม่ได้บังเอิญก็ได้ เรื่องบังเอิญหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเราทำไมบางครั้งจึงประจวบเหมาะกับบางสิ่งที่เรากำลังค้นหา 2.การดำเนินมาของอารยธรรมมนุษย์ที่ผ่านล่วง อารยธรรมที่กำลังเปลี่ยนไปและที่จะดำเนินไปในอนาคตกำลังเปลี่ยนมุมมองเราต่อวัฒนธรรมมนุษย์อย่างสิ้นเชิง
3. การสั่นสะเทือนของพลังงานจักรวาลในระดับต่างๆ ที่สะท้อนในรูปวัตถุที่เรามองเห็น แม้แต่ตัวมนุษย์เองก็เป็นการสั่นสะเทือนของพลังงานในระดับนึงเช่นกัน 4. เราล้วนมีบทครอบงำที่ใช้ดึงพลังงานของคนอื่น เรามักจะนำบทครอบงำมาใช้อย่างไม่รู้ตัวในสภาวะที่ถูกอีกคนนำบทครอบงำมาใช้ (มันคือการแก่งแย่งพลังงานระหว่างกัน)
5.เราสามารถจะเปิดรับพลังจากหลายๆ แหล่งที่ไม่จำเป็นจะต้องไปลดทอนพลังงานของเพื่อนมนุษย์ เช่นพลังจากป่าไม้ ธรรมชาติ 6.เราสามารถจะละทิ้งบทครอบงำผ่านการสำรวจตัวตนที่จริงของเรา ข้างในลึกๆ ยังมีเสียงกระซิบกระซาบคอยส่งเสียงถึงตัวตนและหน้าที่ของเราในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ 7.การวิวัฒนาการตัวตนผ่านการตั้งคำถามและเฟ้นหาคำตอบที่จะถูกส่งมาในรูปแบบต่างๆ 8.การปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ เป็นการส่งพลังให้แก่กัน ผ่านวิธีการช่วยกันดึงสิ่งที่ดีที่สุดจากอีกคนออกมา 9.การข้ามผ่านมิติ ผ่านการเพิ่มระดับการสั่นสะเทือนจนถึงระดับคนที่มีการสั่นสะเทือนระดับต่ำกว่าจะมองไม่เห็นผู้ที่การสั่นสะเทือนอยู่ในระดับสูง
ตัวอย่างประโยคดีๆ จากหนังสือ
เราหนีจากความรู้สึกเคว้งคว้าง (ขาดความชัดเจนและความหมายในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังอธิบายไม่ได้) โดยหันไปครอบครองวัตถุสิ่งของ มุ่งเอาชนะโลกและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
จากแค่จะหาวิธีใช้ชีวิตให้สะดวกสบายขึ้น กลับกลายว่านั่นคือทั้งหมดของชีวิตและเป็นจุดสิ้นสุดในตัวเองกลายเป็นเหตุผลเดียวของการมีชีวิตไป
ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หนังสือกำลังสื่อถึงจะเป็นประสบการณ์เดียวกันกับการนั่งสมาธิหรือไม่ แต่เรื่องการสั่นสะเทือนของพลังงานมีหนังสือหลายเล่มทีเดียวที่กล่าวถึงเรื่องนี้ในอีกชื่อหนึ่งคือกฏแห่งการดึงดูด การสั่นสะเทือนของเราอยู่ในระดับไหนเราก็จะดึงเรื่องในระดับสั่นสะเทือนเดียวกันเข้ามา หากหดหู่เราก็สั่นสะเทือนให้เรื่องไม่ค่อยดีเข้ามา และในทางตรงกันข้าม แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงก็อยู่ที่วิจารณญานของคนอ่านเองว่าจะชอบหรือไม่ชอบหนังสือแนวนี้
ขอขอบคุณ
Salindongbayu
5.เราสามารถจะเปิดรับพลังจากหลายๆ แหล่งที่ไม่จำเป็นจะต้องไปลดทอนพลังงานของเพื่อนมนุษย์ เช่นพลังจากป่าไม้ ธรรมชาติ 6.เราสามารถจะละทิ้งบทครอบงำผ่านการสำรวจตัวตนที่จริงของเรา ข้างในลึกๆ ยังมีเสียงกระซิบกระซาบคอยส่งเสียงถึงตัวตนและหน้าที่ของเราในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ 7.การวิวัฒนาการตัวตนผ่านการตั้งคำถามและเฟ้นหาคำตอบที่จะถูกส่งมาในรูปแบบต่างๆ 8.การปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ เป็นการส่งพลังให้แก่กัน ผ่านวิธีการช่วยกันดึงสิ่งที่ดีที่สุดจากอีกคนออกมา 9.การข้ามผ่านมิติ ผ่านการเพิ่มระดับการสั่นสะเทือนจนถึงระดับคนที่มีการสั่นสะเทือนระดับต่ำกว่าจะมองไม่เห็นผู้ที่การสั่นสะเทือนอยู่ในระดับสูง
ตัวอย่างประโยคดีๆ จากหนังสือ
เราหนีจากความรู้สึกเคว้งคว้าง (ขาดความชัดเจนและความหมายในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังอธิบายไม่ได้) โดยหันไปครอบครองวัตถุสิ่งของ มุ่งเอาชนะโลกและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
จากแค่จะหาวิธีใช้ชีวิตให้สะดวกสบายขึ้น กลับกลายว่านั่นคือทั้งหมดของชีวิตและเป็นจุดสิ้นสุดในตัวเองกลายเป็นเหตุผลเดียวของการมีชีวิตไป
ในภาวะขาดพร่องนี้ (ตัดขาดจากพลังจักรวาล) มนุษย์เราจะหาทางเพิ่มพลังให้ตัวเองด้วยวิธีเดียวที่รู้จักคือ ฉกฉวยทางจิตใจเอาจากผู้อื่น เป็นการแก่งแย่งกันโดยไม่รู้ตัวเป็นที่มาของความขัดแย้ง...
..คือวิธีที่ความรุนแรงทางจิตใจถูกสืบทอดข้ามรุ่น (พ่อแม่เป็นเช่นไรมีความเป็นไปได้สูงที่ลูกจะรับสิ่งนั้นมา)
ความรักไม่ใช่แนวคิดทางปัญญาหรือบัญญัติทางศีลธรรม หรืออะไรทั้งนั้น แต่เป็นอารมณ์เบื้องหลังที่เกิดขึ้นเวลาเราเข้าถึงพลังที่มีอยู่ในจักรวาล ซึ่งก็คือพลังงานของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง
เวลาที่มีใครเข้ามาในชีวิตคุณ มันจะมีสารมาถึงคุณเสมอ ไม่มีการพบพานใดที่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่วิธีที่เราตอบสนองต่อการพบเจอจะกำหนดว่าเราจะได้รับสารมั้ย ถ้าเราคุยกับคนที่ผ่านเข้ามาในเส้นทางชีวิตแล้วเราไม่ได้รับคำตอบเกี่ยวกับคำถามปัจจุบันในชีวิต มันไม่ได้หมายความว่าไม่มีคำตอบมาถึงคุณ แต่หมายความว่าคุณคลาดมันไปด้วยเหตุผลบางอย่าง
...ความจริงที่ดีที่สุดของสิ่งที่เกิดขึ้นในการพูดคุยจะชนะเสมอ...
จักรวาลคือพลังงาน คือพลังที่ตอบสนองต่อความคาดหวังของเรา ผู้คนก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลแห่งพลังนั้นด้วย ฉะนั้นเวลาที่เราเกิดคำถาม จะมีคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมคำตอบ
ขอขอบคุณ
Salindongbayu
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น