วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

รีวิวหนังสือ "ต้นส้มแสนรัก ภาค1"

บิสมิลละฮ์ ฮิรเราะห์มาน นิรรอฮีม


ชื่อหนังสือ 

"ต้นส้มแสนรัก ภาค1          

ผู้เขียน Jose Mauro de Vasconcelos
ผู้แปล สมบัติ เครือทอง
สำนักพิมพ์ ประพันธ์สาส์น

ต้นส้มแสนรักวรรณกรรมสำหรับเด็ก (อ่านจบชักไม่แน่ใจ) เก่าเก็บขึ้นหิ้งหนึ่งใจดวงใจข้าพเจ้าเรื่อยมา ผู้แต่งเขียนได้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นความรู้สึกเหลือเกิน ทั้งสวยงาม บริสุทธิ แต่มันคือความจริงของชีวิตที่เจ็บปวด ร้องไห้หนักมาก นั่นเป็นความรู้สึกตอนที่ปิดเล่มอ่านจบเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว 


ผ่านกว่าทศวรรษความมุ่งมั่นที่จะรีวิวและบอกต่อให้ผู้อื่นได้อ่านไม่เคยเลือนหาย จวบจนวันที่ได้ลงมือรีวิวเสียที หยิบหนังสือกลับมาอ่านอีกรอบความรู้สึกครั้งเก่าก่อนได้หายไปสิ้น กาลเวลาที่ล่วงผ่าน อายุที่มากขึ้น บวกกับประสบการณ์ที่เก็บเล็กผสมน้อยมาตามรายทางชีวิต แว่นตาอันเก่าที่ใช้มองโลกมันเปลี่ยนไป ณ ปี 2559 ความคิดแรกที่วิ่งเข้ามาหลังอ่านจบ คือ ทำไมผู้แต่งถึงได้รำพึงรำพันต่อชีวิตมากมายอย่างนี้ ไม่ได้ปฏิเสธว่าความจริงอันเจ็บปวดที่ถูกจรดในหนังสือมันมีอยู่จริง แต่แง่งามของชีวิตมีตั้งมากมายแล้วจะหยิบเอาประสบการณ์ที่ไม่น่าพิศมัยมาปัดฝุ่นให้เด่นชัดขึ้นเพื่อคอยสะกิดด้านไม่งามของชีวิตอยู่ทำไม

เราจะได้รู้จัก เซเซ่ หนูน้อยวัยห้าขวบที่ความนึกคิดแก่เกินวัย เซเซ่มีจินตนาการอันล้ำลึก จิตใจอันดีงามที่เต็มงาม (คือในวัยขนาดนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันดีงามจนเต็ม) และความคิดอันบริสุทธิ เป็นหนูน้อยที่ชั่งเก็บรายละเอียดทางความรู้สึก นั่นแหละที่ทำให้เซเซ่ทั้งบริสุทธิและรู้จักชีวิตในวัยที่ไม่น่าจะเข้าถึง ความแร้นแค้นนี่สอนคนได้ดีจริงๆ 

ตัวอย่างประโยคดีๆ จากหนังสือ
ไม่ใช่อย่างนั้นฮะ ครู โลกเป็นของพระเจ้า ใช่มั้ยฮะ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นของพระเจ้า ดังนั้น ดอกไม้พวกนั้นก็เหมือนกัน...

...ไม่ใช่ ฉัน (เซเซ่) จะฆ่าเขา (พ่อ) ในหัวใจของฉัน ด้วยการหยุดรักเขา แล้ววันหนึ่งเขาก็จะตาย

ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าความเจ็บปวดที่แท้จริงนั้นคืออะไร ความเจ็บปวดมันไม่ใช่การถูกตีจนสลบไสลหรอก (เซเซ่เคยถูกพ่อของตัวเองตีจนสลบเพราะความเครียดจากการตกงาน) ไม่ใช่การถูกเศษแก้วบาดเท้าและถูกเย็บแผลที่ร้านหมอ ความเจ็บปวดคืออะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้หัวใจของคุณแตกสลายและต้องตายจากไปโดยไม่อาจที่จะเล่าความลับของคุณให้ใครฟังได้เลย (เซเซ่ต้องเก็บความลับที่ว่าไม่ได้รักพ่อที่ให้กำเนิดด้วยการหยุดรักเขา แต่รับความรักจากชาวโปรตุเกตที่รักเขาเสมือนลูกแทน เซเซ่อยากจะรำพึงรำพันเรื่องนี้กับใครซักคนในวันที่คนโปรตุเกตตายไปแต่ก็ทำไม่ได้) ความเจ็บปวดที่ทำให้แขนขา สมองของคุณไร้เรี่ยวแรงให้ใครฟังได้เลย ความเจ็บปวดที่ทำให้แขนขา สมองของคุณไร้เรี่ยวแรง ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะพลิกใบหน้ากลับไปกลับมาบนหมอนที่หนุนอยู่

การตายสำหรับคนบางคนนั้นดูง่ายดายเสียเหลือเกิน...แต่สำหรับผม การไปสวรรค์นั้นยากเหลือเกิน ทุกคนช่วยกันฉุดขาไว้ไม่ให้ผมไป

ถึงแม้ว่าความรู้สึกจากการอ่านในวันนี้ต่างจากวันวาน แต่ก็ยังอยากจะแนะนำให้คนอื่นได้อ่านนิยายดีๆ สะท้อนสังคมบราซิลเล่มนี้อยู่ดี หนังสือเก่าไม่รู้ว่าจะยังหาจากร้านหนังสือได้หรือไม่ แล้วคุณจะทั้งรักและสงสารเซเซ่อย่างสุดซึ้งที่สุด 

ขอขอบคุณ
salindongbayu


วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

รีวิวหนังสือ "The Celestine Prophecy คัมภีร์ฟ้าทำนาย"

บิสมิลละฮ์ ฮิรเราะห์มาน นิรรอฮีม


ชื่อหนังสือ 

"The Celestine Prophecy คัมภีร์ฟ้าทำนาย"           

ผู้เขียน James Redfield
ผู้แปล อัฐพงศ์ เพลินพฤกษา
สำนักพิมพ์ โอ้มายก้อด (OMG Books)  




หนังสือนิยายเล่มนี้จะทำให้เรามองเห็นภาพวัฒนธรรมตะวันตกโดยรวมอย่างคร่าวๆ การดำเนินมาจากอดีตที่ยึดถือศาสนจักรในทุกรายละเอียด ต่อมาได้ส่งไม้ให้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และถัดไปคือสิ่งที่ผู้แต่ง (คงหวัง) อยากจะให้เกิดขึ้นในอนาคต อ่านไปเรื่อยๆ เหมือนจะสัมผัสถึงข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่จริงจากเนื้อเรื่อง ผู้แต่งเพียงนำมันมาเรียงร้อยให้เป็นนิยาย อาจเนื่องด้วยเคยอ่านหนังสือประเภทนี้มาไม่น้อยจึงพอจะมีพื้นหลังอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่เคยผ่านตางานเขียนประเภทนี้มาก่อนคงต้องบอกว่าข้อเท็จจริงที่กล่าวถึงมันน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย สำหรับผมแล้วนิยายเล่มนี้ถือเป็นงานเขียนที่ห้อมล้อมด้วยตรรกและคำอธิบายที่หนักพอสมควร เพราะเนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นบทสนทนาอันยืดยาว หรือไม่ก็เป็นฉากที่ตัวละครกำลังอธิบายอะไรบางอย่างที่ยาวไม่แพ้กัน 

หนังสือเล่าถึงการค้นหาญานทัศน์ทั้งเก้าในคัมภีร์โบราณที่ถูกค้นพบในประเทศเปรู ญานทัศน์เล่าถึง 1.วิถีทางชีวิตที่พัฒนาผ่านเรื่องบังเอิญที่จริงๆ อาจจะไม่ได้บังเอิญก็ได้ เรื่องบังเอิญหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเราทำไมบางครั้งจึงประจวบเหมาะกับบางสิ่งที่เรากำลังค้นหา 2.การดำเนินมาของอารยธรรมมนุษย์ที่ผ่านล่วง อารยธรรมที่กำลังเปลี่ยนไปและที่จะดำเนินไปในอนาคตกำลังเปลี่ยนมุมมองเราต่อวัฒนธรรมมนุษย์อย่างสิ้นเชิง  
3. การสั่นสะเทือนของพลังงานจักรวาลในระดับต่างๆ ที่สะท้อนในรูปวัตถุที่เรามองเห็น แม้แต่ตัวมนุษย์เองก็เป็นการสั่นสะเทือนของพลังงานในระดับนึงเช่นกัน 4. เราล้วนมีบทครอบงำที่ใช้ดึงพลังงานของคนอื่น เรามักจะนำบทครอบงำมาใช้อย่างไม่รู้ตัวในสภาวะที่ถูกอีกคนนำบทครอบงำมาใช้ (มันคือการแก่งแย่งพลังงานระหว่างกัน) 

5.เราสามารถจะเปิดรับพลังจากหลายๆ แหล่งที่ไม่จำเป็นจะต้องไปลดทอนพลังงานของเพื่อนมนุษย์ เช่นพลังจากป่าไม้ ธรรมชาติ 6.เราสามารถจะละทิ้งบทครอบงำผ่านการสำรวจตัวตนที่จริงของเรา ข้างในลึกๆ ยังมีเสียงกระซิบกระซาบคอยส่งเสียงถึงตัวตนและหน้าที่ของเราในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ 7.การวิวัฒนาการตัวตนผ่านการตั้งคำถามและเฟ้นหาคำตอบที่จะถูกส่งมาในรูปแบบต่างๆ 8.การปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ เป็นการส่งพลังให้แก่กัน ผ่านวิธีการช่วยกันดึงสิ่งที่ดีที่สุดจากอีกคนออกมา 9.การข้ามผ่านมิติ ผ่านการเพิ่มระดับการสั่นสะเทือนจนถึงระดับคนที่มีการสั่นสะเทือนระดับต่ำกว่าจะมองไม่เห็นผู้ที่การสั่นสะเทือนอยู่ในระดับสูง 

ตัวอย่างประโยคดีๆ จากหนังสือ
เราหนีจากความรู้สึกเคว้งคว้าง (ขาดความชัดเจนและความหมายในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังอธิบายไม่ได้) โดยหันไปครอบครองวัตถุสิ่งของ มุ่งเอาชนะโลกและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น 

จากแค่จะหาวิธีใช้ชีวิตให้สะดวกสบายขึ้น กลับกลายว่านั่นคือทั้งหมดของชีวิตและเป็นจุดสิ้นสุดในตัวเองกลายเป็นเหตุผลเดียวของการมีชีวิตไป


ในภาวะขาดพร่องนี้ (ตัดขาดจากพลังจักรวาล) มนุษย์เราจะหาทางเพิ่มพลังให้ตัวเองด้วยวิธีเดียวที่รู้จักคือ ฉกฉวยทางจิตใจเอาจากผู้อื่น เป็นการแก่งแย่งกันโดยไม่รู้ตัวเป็นที่มาของความขัดแย้ง...

..คือวิธีที่ความรุนแรงทางจิตใจถูกสืบทอดข้ามรุ่น (พ่อแม่เป็นเช่นไรมีความเป็นไปได้สูงที่ลูกจะรับสิ่งนั้นมา) 

ความรักไม่ใช่แนวคิดทางปัญญาหรือบัญญัติทางศีลธรรม หรืออะไรทั้งนั้น แต่เป็นอารมณ์เบื้องหลังที่เกิดขึ้นเวลาเราเข้าถึงพลังที่มีอยู่ในจักรวาล ซึ่งก็คือพลังงานของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง

เวลาที่มีใครเข้ามาในชีวิตคุณ มันจะมีสารมาถึงคุณเสมอ ไม่มีการพบพานใดที่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่วิธีที่เราตอบสนองต่อการพบเจอจะกำหนดว่าเราจะได้รับสารมั้ย ถ้าเราคุยกับคนที่ผ่านเข้ามาในเส้นทางชีวิตแล้วเราไม่ได้รับคำตอบเกี่ยวกับคำถามปัจจุบันในชีวิต มันไม่ได้หมายความว่าไม่มีคำตอบมาถึงคุณ แต่หมายความว่าคุณคลาดมันไปด้วยเหตุผลบางอย่าง

...ความจริงที่ดีที่สุดของสิ่งที่เกิดขึ้นในการพูดคุยจะชนะเสมอ...

จักรวาลคือพลังงาน คือพลังที่ตอบสนองต่อความคาดหวังของเรา ผู้คนก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลแห่งพลังนั้นด้วย ฉะนั้นเวลาที่เราเกิดคำถาม จะมีคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมคำตอบ

ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หนังสือกำลังสื่อถึงจะเป็นประสบการณ์เดียวกันกับการนั่งสมาธิหรือไม่ แต่เรื่องการสั่นสะเทือนของพลังงานมีหนังสือหลายเล่มทีเดียวที่กล่าวถึงเรื่องนี้ในอีกชื่อหนึ่งคือกฏแห่งการดึงดูด การสั่นสะเทือนของเราอยู่ในระดับไหนเราก็จะดึงเรื่องในระดับสั่นสะเทือนเดียวกันเข้ามา หากหดหู่เราก็สั่นสะเทือนให้เรื่องไม่ค่อยดีเข้ามา และในทางตรงกันข้าม แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงก็อยู่ที่วิจารณญานของคนอ่านเองว่าจะชอบหรือไม่ชอบหนังสือแนวนี้ 

ขอขอบคุณ
Salindongbayu